วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างกลไกการจับเคลื่อนเครือข่าย ทสม.4 ภาค

วันนี้ ( 23 เมย. 57 ) เวลา 10.00 น. รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี) เป็น ประธานเปิดการประชุมเชิงปฎิบัติการเพื่อการพัฒนาเครือข่าย ทสม. 4 ภาค ที่ห้องประชุมศรีเทพ โรงแรมโฆษิตฮิลล์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยนายสุชาติ ราษฎร์ดุษดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวต้อนรับ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงานการประชุมในครั้งนี้ เพื่อทำความเข้าใจในประเด็นยุทธศาตร์ ทสม. ในการจัดทำแผนสู่การปฏิบัติจริง สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์กับแผนของแต่ละพื้นที่ให้มีความสอดคล้องกัน และสามารถยกระดับกระบวนการทำงานในระดับพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นหน่วยงานที่เคียงข้างเครือข่าย ทสม. และจะยังคงทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่าย ทสม. เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดี ในการแสดงบทบาท ถ่ายทอดบทเรียน ทำความเข้าใจในประเด็นยุทธศาสตร์ และเชื่อมโยงกับแผนงานของแต่ละพื้นที่ให้มีความสอดคล้องกับจังหวัดของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในที่ประชุมประกอบกด้วยการบรรยายให้ความรู้ในประเด็นเข้าใจ เข้าถึง ร่วมมือ ร่วมสร้างเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เครือข่าย ทสม. การอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์แผนปฏิบัติการเครือข่าย ทสม.ในพื้นที่ กับแผนงานท้องถิ่นและแหล่งทุน รวมถึงการระดมความคิด เพื่อจัดทำแผนการดำเนินงานภายใต้ยุทธศสตร์การดำเนินงานของเครือข่าย ทสม. ปี 2557-2560 โดยมีเครือข่าย ทสม.จำนวนกว่า 500 คน เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ จากนั้น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ป่าชุมชนบ้านพัฒนวรพงษ์ ต.ริมสีม่วง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเครือข่าย ทสม. สามารถดูแลฟื้นฟูอนุรักษ์เป็นพื้นที่กว่า 3 ,000 ไร่

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก จัดกิจกรรมอบรมเสวนาเครือข่ายการประชาสัมพันธ์และสื่อมวลชนด้านการประชาสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก จัดกิจกรรมอบรมเสวนาเครือข่ายการประชาสัมพันธ์และสื่อมวลชนด้านการประชาสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน เพื่อพัฒนา เรียนรู้ ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู้ประชาคมเซียนอย่างเต็มตัวในปี 2558 นี้

เมื่อเวลา 9.30 น. วันนี้ ( 23 เม.ย.57 ) ที่ห้องคอนเวนชั่น โรงแรมท๊อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นาย วิทูรัช ศรีนาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานเปิดกิจกรรม อบรมเสวนาเครือข่ายการประชาสัมพันธ์สื่อมวลชนด้านการประชาสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน ซึ่งจัดโดยสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรด้านสื่อสารมวลชนจากทั้ง 9 จังหวัด ในภาคเหนือตอนล่าง ได้เรียนรู้ทั้งในด้าน เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ของประเทศเพื่อนบ้าน ในแทบอาเซียน เพื่อพัฒนาต่อยอด สามารถนำไปปรับใช้ ในการสื่อสารและกระจายข่าวสู่สังคมต่อไป ด้าน นางสาวพรรณี สัสดีแพง ประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเซียนอย่างเต็มตัวในปี 2558 นี้ การสร้างความรู้ และความเข้าใจในประชาคมอาเซียน ให้กับประชาชนในภูมิภาค จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ในเรื่องอาเซียน สร้างความรู้สึกของการเป็นประชาคมอาเซียนและการเป็นพลเมืองอาเซียน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลอาเซียนให้มีความสมบูรณ์ มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะทำให้เกิดประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ จะต้องคำนึงถึงการที่ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถึงข้อดี และผลกระทบที่จะได้รับจากการเป็นประชาคมอาเซียน รวมถึงจะต้องเชื่อมโยงประชาชนของไทยกับประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนในเชิงลึกมากขึ้น เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนมีความแตกต่างกันมาก ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ปล่อยเสียงสัมภาษณ์...นางสาวพรรณี สัสดีแพง...ประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก.... สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก ในฐานะประชาสัมพันธ์จังหวัดผู้แทนภาค 4 จึงได้จัดอบรมเครือข่ายประชาสัมพันธ์สื่อมวลชนด้านการประชาสัมพันธ์ขึ้น ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ประกอบด้วยสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่จากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด และเจ้าหน้าที่จากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 9 จังหวัด ประกอบด้วยพิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี จำนวน 90 คน เข้ารับการอบรม ทั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมจะได้นำความรู้ที่ได้รับไปขยายผลสู่ประชาชนในพื้นที่ต่อไป

กกพ.ย้ำ 2 การไฟฟ้า เตรียมแผนรับมือแหล่งก๊าซ JDA หยุดซ่อมครั้งใหญ่พร้อมเดินหน้าขอความร่วมมือเอกชนลดใช้ไฟช่วงพีค มั่นใจภาคใต้ไฟไม่ดับซ้ำรอย

กกพ.ย้ำ 2 การไฟฟ้า เตรียมแผนรับมือแหล่งก๊าซ JDA หยุดซ่อมครั้งใหญ่พร้อมเดินหน้าขอความร่วมมือเอกชนลดใช้ไฟช่วงพีค มั่นใจภาคใต้ไฟไม่ดับซ้ำรอย
 
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เดินเครื่องกลไกการกำกับดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเชิญการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เข้าชี้แจงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าของภาคใต้ จากการหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่ง JDA-A18 ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2557 พร้อมขอความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ร่วมลดใช้ไฟช่วงพีค โดยมีเป้าสูงสุดถึง 300 เมกกะวัตต์ ศ.กิตติคุณ ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย แหล่ง JDA-A18 จะดำเนินการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ โดยมีกำหนดหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2557 นี้ รวม 28 วัน ว่า จะทำให้มีปริมาณก๊าซธรรมชาติ หายไปประมาณ 420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และส่งผลให้โรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ที่มีกำลังผลิตรวม 710 เมกกะวัตต์ และใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตดังกล่าวเป็นเชื้อเพลิงหลักจะต้องหยุดเดิน เครื่อง ซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาค ใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่กกพ.จึงได้เชิญ กฟผ. และ กฟภ. เข้าชี้แจงถึงสถานการณ์ของระบบไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว โดย กฟผ. รายงานว่า การหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA-A18 จะส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมของภาคใต้อยู่ที่ 2,306 เมกกะวัตต์ จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2,400 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงในช่วง Peak Time เวลา 18.30 - 22.30 น. และกรณีวันที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ 2,543 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมในช่วงบ่ายเวลา 13.30 - 15.30 น.กกพ. จึงได้มอบหมายให้ กฟผ. และ กฟภ. จัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในพื้นที่ภาคใต้ โดย นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เปิดเผยถึงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ของ กฟผ. ว่า จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิต จะเห็นว่าขาดกำลังผลิตประมาณ 100-250 เมกกะวัตต์ โดยมีปัจจัยที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้ คือ การใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าคาดการณ์ และการรณรงค์ให้มีการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงการทำงานแหล่งก๊าซฯ JDA-A18 ซึ่งหากการรณรงค์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องมีการ ส่งพลังไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงภาคกลาง-ภาคใต้ เกินมาตรฐานรองรับความมั่นคง
ซึ่งจะส่งผ่านพลังไฟฟ้าเกิน 700 เมกกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 950 เมกกะวัตต์ แต่หากมีแนวโน้มมากกว่านี้ ทาง กฟผ. จะดำเนินการประสานไปยัง กฟภ. เพื่อหมุนเวียนดับไฟฟ้าบางส่วนตามแผนที่จัดเตรียมไว้ นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้เตรียมความพร้อมรองรับในด้านต่างๆ ไว้ดังนี้ 1.ระบบผลิต ปรับแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าภาคใต้ โดยไม่ให้มีการบำรุงรักษาในช่วงที่แหล่ง JDA-A18 หยุดจ่ายก๊าซฯ 2.ระบบส่งและระบบป้องกัน จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ระบบส่งที่สำคัญ และระบบป้องกันต่างๆ ให้มีความพร้อมใช้งาน และ 3.เชื้อเพลิง กฟผ.จะจัดเตรียมปริมาณกักเก็บสำรอง และแผนการจัดส่งให้เพียงพอต่อการใช้งาน ด้าน นายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยถึงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ ในส่วนของ กฟภ. โดยจะเน้นย้ำการไฟฟ้าเขตภาคใต้ ให้ตรวจสอบ บำรุงรักษาระบบจำหน่ายสายส่ง สถานีไฟฟ้าและอุปกรณ์ควบคุมป้องกันต่างๆให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และเตรียมแผนการปลดโหลด กรณีกำลังสำรองผลิตต่ำ ด้วยการตรวจสอบฟีดเดอร์ (วงจรจ่ายไฟ) ปริมาณโหลด (กำลังไฟฟ้าที่จ่าย) ให้เป็นไปตามแผนที่พิจารณาร่วมกับ กฟผ. และแจ้งแผนการปลดโหลดให้สำนักงาน กกพ. ทราบ นอกจากนี้จะเตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานควบคุมเครื่องให้พร้อมปฏิบัติการช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการประสานงานกับ กฟผ.อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และปฏิบัติการในกรณีต่างๆอย่างเหมาะสม พร้อมกันนี้จะทำการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมกันประหยัดไฟฟ้า หรือหลีกเลี่ยงการใช้ไฟในช่วงโหลดสูงสุดควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกัน กกพ. ได้ดำเนินการประสานขอความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการเตรียมแผนรองรับกรณีกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ไม่เพียงพอโดยทางด้าน นายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมว่า ส.อ.ท. จะประสานความร่วมมือไปยังสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด รวมถึงจะมีการเผยแพร่ข้อมูลไปยังสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ทั้งหมด โดยเฉพาะสมาชิกในเขตภาคใต้ เพื่อขอความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความต้องการพลังงานสูงสุด 2 ช่วงเวลา คือระหว่างช่วงเวลา 13.30-15.30น. และช่วงเวลา 18.30-22.30 น. ของวันจันทร์ – วันเสาร์ ตลอดช่วงเวลาการหยุดจ่ายก๊าซ โดยทาง ส.อ.ท. ได้ตั้งเป้าที่จะขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรม 11กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงแรม การประมงในมหาสมุทรและการประมงชายฝั่งทะเล การผลิตน้ำแข็ง ห้างสรรพสินค้า การทำอาหารกระป๋อง โรงเลื่อยและไม้บาง ผลิตภัณฑ์ยางแผ่นเครปและยางอื่นๆ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาที่คล้ายคลึงกัน อาหารสัตว์สำเร็จรูป เหมืองหิน และปูนซีเมนต์ ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีความยินดีให้ความร่วมมือ โดยจะดำเนินการจัดเวทีทำความเข้าใจกับกลุ่มอุตสาหกรรมภาคใต้ร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าการขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยลดกำลัง การผลิตไฟฟ้าได้ถึง 200-300 เมกกะวัตต์ "การปิดซ่อมท่อก๊าซแหล่ง JDA-A18 ครั้งนี้ ถือว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้อย่างมาก เนื่องจากปริมาณของก๊าซที่หายไปค่อนข้างเยอะ ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ขาดแคลนไฟฟ้า อย่างรอบด้าน ทั้งในด้านการผลิตไฟฟ้า และการลดใช้ไฟฟ้า ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่วางไว้ ก็มั่นใจภาคใต้ว่าจะมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ และไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับซ้ำรอยเหมือนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 อย่างแน่นอน” ดร.ดิเรก กล่าว

พ่อเมืองพิษณุโลก ยืนยันคดีน้องต๊อบ เป็นคดีอาญาอุจฉกรรจ์ โดยแนวทางคดีคืบหน้าไปมาก ขณะที่อัยการเขตภาค 6 เรียกพยานเด็กที่เกี่ยวข้อง มาสอบเพิ่มเติม

พ่อเมืองพิษณุโลก ยืนยันคดีน้องต๊อบ เป็นคดีอาญาอุจฉกรรจ์ โดยแนวทางคดีคืบหน้าไปมาก ขณะที่อัยการเขตภาค 6 เรียกพยานเด็กที่เกี่ยวข้อง มาสอบเพิ่มเติม ในส่วนแม่น้องต๊อบ บอกรู้สึกมั่นใจมากขึ้นหลังเปลี่ยนชุดสอบสวน ในส่วนคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีอาญาอุกฉกรรจ์

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 เมษายน 2557 ที่สำนักงานอัยการเขต 6 ทางชุดคลี่คลายคดี ด.ช.ศุภชัย ธรรมานุพัฒน์ หรือ น้องต๊อบ อายุ 13 ปี ที่จมน้ำเสียชีวิต แล้วมารดา กลับปักใจเชื่อว่า ลูกชายตนเองถูกทำร้ายก่อนจมน้ำจึงร้องไปที่มูลนิธิปวีณาฯ เพื่อเร่งคลี่คลายคดีดังกล่าว ในวันนี้ทางคณะคลี่คลายคดี ประกอบด้วย นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พล.ต.ต.ศิรินทร์ ผดุงชีวิตร์ รอง ผบช.ภ.6 เจ้าหน้าที่อัยการ เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนชุดใหม่ รวมกันเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนใหม่และเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความกระจ่างในคดีโดยคาดว่าในวันนี้จะใช้เวลาทั้งวันในการสอบพยาน ด้านนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ความคืบหน้าของคดีในวันนี้ทางชุดสอบสวนได้มีการเรียกพยานหลายปากมาสอบสวน ทั้งเด็กที่อยู่ในเหตุการณ์ และเด็กที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเป็นคดีอาญาอุกฉกรรจ์ แต่อย่างไรก็ตามแนวทางยังยึดหลักตาม 4 โมเดลที่ตั้งไว้ สำหรับที่ถามว่ามีหลักฐานใหม่ในเรื่องกล้องวงจรปิดนั้นตอนนี้อยู่ในสำนวนการสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยได้ ทางด้านนางกัลยา เกตุนาวา แม่ของน้องต๊อบ กล่าวว่า ในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกมาทำการสอบสวน ซึ่งก็ได้เดินทางมา แต่อย่างไรตอนนี้เริ่มรู้สึกมั่นใจและสบายใจเพิ่มมากขึ้นที่มีการตั้งชุดสอบสวนใหม่ ตอนนี้ก็ได้แต่รอผลสรุปของคดีและพร้อมยอมรับผลที่ออกมา อย่างไรก็ตามอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างที่อยากให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความละเอียดในการเสียชีวิตแต่ละครั้ง ไม่ควรด่วนสรุปคดีก่อน