วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

กกพ.ย้ำ 2 การไฟฟ้า เตรียมแผนรับมือแหล่งก๊าซ JDA หยุดซ่อมครั้งใหญ่พร้อมเดินหน้าขอความร่วมมือเอกชนลดใช้ไฟช่วงพีค มั่นใจภาคใต้ไฟไม่ดับซ้ำรอย

กกพ.ย้ำ 2 การไฟฟ้า เตรียมแผนรับมือแหล่งก๊าซ JDA หยุดซ่อมครั้งใหญ่พร้อมเดินหน้าขอความร่วมมือเอกชนลดใช้ไฟช่วงพีค มั่นใจภาคใต้ไฟไม่ดับซ้ำรอย
 
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เดินเครื่องกลไกการกำกับดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเชิญการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เข้าชี้แจงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าของภาคใต้ จากการหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่ง JDA-A18 ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2557 พร้อมขอความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ร่วมลดใช้ไฟช่วงพีค โดยมีเป้าสูงสุดถึง 300 เมกกะวัตต์ ศ.กิตติคุณ ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย แหล่ง JDA-A18 จะดำเนินการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ โดยมีกำหนดหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2557 นี้ รวม 28 วัน ว่า จะทำให้มีปริมาณก๊าซธรรมชาติ หายไปประมาณ 420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และส่งผลให้โรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ที่มีกำลังผลิตรวม 710 เมกกะวัตต์ และใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตดังกล่าวเป็นเชื้อเพลิงหลักจะต้องหยุดเดิน เครื่อง ซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาค ใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่กกพ.จึงได้เชิญ กฟผ. และ กฟภ. เข้าชี้แจงถึงสถานการณ์ของระบบไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว โดย กฟผ. รายงานว่า การหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA-A18 จะส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมของภาคใต้อยู่ที่ 2,306 เมกกะวัตต์ จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2,400 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงในช่วง Peak Time เวลา 18.30 - 22.30 น. และกรณีวันที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ 2,543 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมในช่วงบ่ายเวลา 13.30 - 15.30 น.กกพ. จึงได้มอบหมายให้ กฟผ. และ กฟภ. จัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในพื้นที่ภาคใต้ โดย นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เปิดเผยถึงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ของ กฟผ. ว่า จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิต จะเห็นว่าขาดกำลังผลิตประมาณ 100-250 เมกกะวัตต์ โดยมีปัจจัยที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้ คือ การใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าคาดการณ์ และการรณรงค์ให้มีการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงการทำงานแหล่งก๊าซฯ JDA-A18 ซึ่งหากการรณรงค์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องมีการ ส่งพลังไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงภาคกลาง-ภาคใต้ เกินมาตรฐานรองรับความมั่นคง
ซึ่งจะส่งผ่านพลังไฟฟ้าเกิน 700 เมกกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 950 เมกกะวัตต์ แต่หากมีแนวโน้มมากกว่านี้ ทาง กฟผ. จะดำเนินการประสานไปยัง กฟภ. เพื่อหมุนเวียนดับไฟฟ้าบางส่วนตามแผนที่จัดเตรียมไว้ นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้เตรียมความพร้อมรองรับในด้านต่างๆ ไว้ดังนี้ 1.ระบบผลิต ปรับแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าภาคใต้ โดยไม่ให้มีการบำรุงรักษาในช่วงที่แหล่ง JDA-A18 หยุดจ่ายก๊าซฯ 2.ระบบส่งและระบบป้องกัน จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ระบบส่งที่สำคัญ และระบบป้องกันต่างๆ ให้มีความพร้อมใช้งาน และ 3.เชื้อเพลิง กฟผ.จะจัดเตรียมปริมาณกักเก็บสำรอง และแผนการจัดส่งให้เพียงพอต่อการใช้งาน ด้าน นายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยถึงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ ในส่วนของ กฟภ. โดยจะเน้นย้ำการไฟฟ้าเขตภาคใต้ ให้ตรวจสอบ บำรุงรักษาระบบจำหน่ายสายส่ง สถานีไฟฟ้าและอุปกรณ์ควบคุมป้องกันต่างๆให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และเตรียมแผนการปลดโหลด กรณีกำลังสำรองผลิตต่ำ ด้วยการตรวจสอบฟีดเดอร์ (วงจรจ่ายไฟ) ปริมาณโหลด (กำลังไฟฟ้าที่จ่าย) ให้เป็นไปตามแผนที่พิจารณาร่วมกับ กฟผ. และแจ้งแผนการปลดโหลดให้สำนักงาน กกพ. ทราบ นอกจากนี้จะเตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานควบคุมเครื่องให้พร้อมปฏิบัติการช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการประสานงานกับ กฟผ.อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และปฏิบัติการในกรณีต่างๆอย่างเหมาะสม พร้อมกันนี้จะทำการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมกันประหยัดไฟฟ้า หรือหลีกเลี่ยงการใช้ไฟในช่วงโหลดสูงสุดควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกัน กกพ. ได้ดำเนินการประสานขอความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการเตรียมแผนรองรับกรณีกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ไม่เพียงพอโดยทางด้าน นายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมว่า ส.อ.ท. จะประสานความร่วมมือไปยังสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด รวมถึงจะมีการเผยแพร่ข้อมูลไปยังสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ทั้งหมด โดยเฉพาะสมาชิกในเขตภาคใต้ เพื่อขอความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความต้องการพลังงานสูงสุด 2 ช่วงเวลา คือระหว่างช่วงเวลา 13.30-15.30น. และช่วงเวลา 18.30-22.30 น. ของวันจันทร์ – วันเสาร์ ตลอดช่วงเวลาการหยุดจ่ายก๊าซ โดยทาง ส.อ.ท. ได้ตั้งเป้าที่จะขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรม 11กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงแรม การประมงในมหาสมุทรและการประมงชายฝั่งทะเล การผลิตน้ำแข็ง ห้างสรรพสินค้า การทำอาหารกระป๋อง โรงเลื่อยและไม้บาง ผลิตภัณฑ์ยางแผ่นเครปและยางอื่นๆ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาที่คล้ายคลึงกัน อาหารสัตว์สำเร็จรูป เหมืองหิน และปูนซีเมนต์ ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีความยินดีให้ความร่วมมือ โดยจะดำเนินการจัดเวทีทำความเข้าใจกับกลุ่มอุตสาหกรรมภาคใต้ร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าการขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยลดกำลัง การผลิตไฟฟ้าได้ถึง 200-300 เมกกะวัตต์ "การปิดซ่อมท่อก๊าซแหล่ง JDA-A18 ครั้งนี้ ถือว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้อย่างมาก เนื่องจากปริมาณของก๊าซที่หายไปค่อนข้างเยอะ ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ขาดแคลนไฟฟ้า อย่างรอบด้าน ทั้งในด้านการผลิตไฟฟ้า และการลดใช้ไฟฟ้า ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่วางไว้ ก็มั่นใจภาคใต้ว่าจะมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ และไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับซ้ำรอยเหมือนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 อย่างแน่นอน” ดร.ดิเรก กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น