วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดโครงการบวชป่าต้นน้ำ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ คืนความสุขประชาชนและธรรมชาติ

อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดโครงการบวชป่าต้นน้ำ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ คืนความสุขประชาชนและธรรมชาติ

เช้าวันนี้(29 กรกฎาคม 2557) นายชิษณุพงษ์ บูรณา นายอำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วย พระครูอนุสิฐธีรคุณ เจ้าคณะตำบลแม่ลาหลวง และบาทหลวง วัดนักบุญเปโตรป่าหมาก นำราษฎรบ้านหัวลา และนักเรียน จำนวน 150 คน จัดพิธีบวชป่าต้นน้ำ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ ที่บ้านหัวลา หมู่ 7 ตำบลสันติคีรี อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 82 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2557 อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ ตลอดจนเป็นต้นแบบในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่ชุมชนต่างๆและหมู่บ้านใกล้เคียงต่อไป

ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

สำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอนจัดกิจกรรมคืนความสุขให้ชาวนา

ชาวนา 7 อำเภอ ร่วมงานคืนความสุขให้ชาวนา โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน และหน่วยงานกระทรวงเกษตร ฯ ร่วมงาน

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประธานเปิดงานวันณรงค์การลดต้นทุนการผลิตข้าวเพื่อคืนความสุขให้กับชาวนา สำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดขึ้นที่บริเวณศาลาประชาคมจังหวัดแม่ฮ่องสอนตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช ) เพื่อสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพชาวนา ทั้งนี้ในช่วงเช้าจัดให้มีการเสวนาให้ความรู้ในรายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกข้าว โดยใช้ต้นทุนที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวลงจากเดิม และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ให้ได้ตามบริบทที่ว่า “ แหล่งข้าวชั้นดี วิถีคนดอย ร้อยชื่อพันธุ์ข้าว ยาวนานพันธ์ปี ข้าวพันธ์ดีพันธ์พื้นเมือง ที่นี่แม่ฮ่องสอน “ พร้อมกันนี้มีหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาออกหน่วยเคลื่อนที่ให้ความรู้ด้านการเพิ่มคุณภาพข้าว และผลผลิตการเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และเกษตรกรทั่วไปในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มาร่วมงานกว่า 500 คน นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติและภัยศัตรูพืชระบาดปี 2556 ใน 4 อำเภอ รวม 898 ราย ได้แก่ อ.ปาย 233 ราย ปางมะผ้า 151 ราย แม่ลาน้อย 250 ราย และ อ. แม่สะเรียง 264 ราย เป็นสดผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นวงเงิน 2,439,573 บาท และมอบเงินเงินช่วยเหลือเกษตรกรโครงการแก้ไขยางพาราทั้งระบบอีกจำนวน 764,820 บาท นายวุฒิฉัตร เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา เกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า “ ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มีนโยบายช่วยเหลือชาวนาจากการรับจำนำข้าว มาเป็นการช่วยเหลือโดยการลดปัจจัยการผลิต และสนับสนุนองค์ความรู้เรื่องการลดต้นทุนการผลิตข้าวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพทำนา

โดยกำหนดมาตรการดำเนินการ 2 มาตรการ ได้แก่ มาตรการหลัก ด้านการลดราคาปุ๋ยเคมีและสารเคมี ลดราคาค่าเมล็ดพันธ์ข้าว ลดค่าจ้างรถเก็บเกี่ยวข้าว และการลดค่าเช่านาของผู้ให้เช่า และมาตรการสนับสนุนในเรื่องของสินเชื่อหรือแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพทำนา ทางกรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดโครงการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี 2557/58 นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแสดงนิทรรศการลดต้นทุนการผลิตข้าว เทคโนโลยีการผลิต คลินิกสอบถามปัญหาด้านการเกษตร การจำหน่ายปุ๋ยราคาถูก การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การทำบัญชีสหกรณ์ การบริหารจัดการน้ำ ปฏิรูปที่ดิน รวมถึงการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาถูก และการแสดงดนตรีคืนความสุขให้ชาวนาสร้างความสุขให้ประชาชนโดยวงดนตรีลูกทุ่งชื่อดังเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนมั่นใจว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเกษตรกร ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนากระบวนการผลิตในภาพรวมจนส่งผลให้คุณภาพชีวิต ขวัญกำลังในของชาวนา และเกษตรกรในจังหวัดแม่ฮ่องสอนดีขึ้น


ข่าวโดย : ดำเนิน ท้วมจอก ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน

สำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับหลายหน่วยงาน จัดงานวันรณรงค์ลดต้นทุนการผลิต เพื่อคืนความสุขให้ชาวนา

สำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับหลายหน่วยงาน จัดงานวันรณรงค์ลดต้นทุนการผลิต เพื่อคืนความสุขให้ชาวนา

บ่ายวันนี้ (29 กรกฎาคม 2557) นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดงาน รณรงค์การขึ้นทะเบียนเกษตรกร และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าว คืนความสุขให้ชาวนา ที่ศาลาประชาคม จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเผยแพร่เทคโนโลยีการผลิตข้าวที่ถูกต้อง ให้ชาวนาและผู้ที่สนใจเพื่อลดต้นทุนการผลิต เป็นการช่วยเหลือชาวนาตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

จากนั้นผู้ว่าราชการ จ.แม่ฮ่องสอนมอบเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อุทกภัย ปี 2557 แบ่งเป็นเกษตรกรอำเภอปาย 233 ราย เกษตรกรอำเภอปางมะผ้า 151 ราย เกษตรกรอำเภอแม่ลาน้อย 250 ราย เกษตรกรอำเภอแม่สะเรียง 103 ราย และภัยศัตรูพืชระบาดในพื้นที่ปลูกข้าว อำเภอแม่สะเรียง 161 ราย รวม 898 ราย เป็นเงินกว่าสองล้านบาท และมอบพันธุ์ปลาแก่เกษตร

กิจกรรมในงานประกอบด้วย การบริการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2557/58 นิทรรศการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าว การจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด รวมทั้งมีการแสดงดนตรีสร้างความสุขให้กับประชาชน จากกรมทหารพรานที่ 36


ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

หลายพื้นที่ใน จ.แม่ฮ่องสอนพบผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียเพิ่มขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการควบคุมป้องกันโรค

หลายพื้นที่ใน จ.แม่ฮ่องสอนพบผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียเพิ่มขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการควบคุมป้องกันโรค

เช้าวันนี้ (29 กรกฎาคม 2557) แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เครือข่ายคณะทำงานด้านมาลาเรีย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อสรุปสถานการณ์มาลาเรียในจังหวัด และนำเสนอการดำเนินงานเชิงรุก ด้านมาลาเรีย ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภายใต้โครงการยับยั่งการแพร่เชื้อมาลาเรียที่ดื้อยาผสมอนุพันธ์อาร์ติมิซินิน

สถานการณ์มาลาเรีย ตั้งวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 จังหวัดแม่ฮ่องสอนพบผู้ป่วย จำนวน 535 ราย มากที่สุดพบที่อำเภอแม่สะเรียงจำนวน 161 ราย รองลงมาที่อำเภอสบเมย 150 ราย อำเภอเมือง 117 ราย ตามลำดับ พื้นที่ที่พบไข้มาลาเรียเพิ่มขึ้นได้แก่อ.ปาย จากเดิม7 ราย เพิ่มเป็น 26 ราย คิดเป็นร้อยละ 271 อ.ขุนยวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และ อ.ปางมะผ้า เพิ่มขึ้นรอยละ 38 สาเหตุเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนปริมาณยุงก้นปล่องเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นเครือข่ายคณะทำงานด้านมาลาเรียในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เตรียมมาตรการที่จะดำเนินการในการป้องกัน ได้แก่ การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด และค้นหาผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงให้ครอบคลุม ฉีดพ่นหมอกควันในพื้นที่พบผู้ป่วย และเพิ่มมุ้งให้ครอบคลุมประชากร 2 คนต่อ 1 หลัง


ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

จังหวัดแม่ฮ่องสอน เตรียมจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ที่ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอนหลังเก่า

จังหวัดแม่ฮ่องสอน เตรียมจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ที่ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอนหลังเก่า

นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่าจ.แม่ฮ่องสอน เตรียมเปิดศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน วันพรุ่งนี้ (30 กรกฎาคม 2557) ที่ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอนหลังเก่า โดยมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนในทุกเรื่อง ให้บริการข้อมูลข่าวสารต่างๆของทางราชการ ให้คำปรึกษาแก่ประชาชน รับฟังปัญหาความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชน ทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการร่วมตามมาตรา 32 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

พสกนิกรชาวจังหวัดแพร่ร่วมใจจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ

พสกนิกรชาวจังหวัดแพร่ร่วมใจจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่รายงานว่า ค่ำวานนี้ (28 ก.ค.57) ที่ศูนย์ 3 วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัวป่าแมต จังหวัดแพร่ ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทางนายธนากร อึ้งจิตรไพศาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่เป็นประธานนำคณะข้าราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนชัยถวายพระพร และถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครบ 62 พรรษา เพื่อแสดงออกถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างล้นพ้น



ฉัตรชัย พวงขจร / ข่าว /พิมพ์            

จังหวัดแพร่ จัดเวทีติดตาม สอดส่องการนำแผนพัฒนาการเมืองสู่การปฏิบัติเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์

จังหวัดแพร่จัดเวทีติดตาม สอดส่องการนำแผนพัฒนาการเมืองสู่การปฏิบัติเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อผลักดันให้เกิดการนำแผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่รายงานว่าจากพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (1) กำหนดให้สภาพัฒนาการเมืองมีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำแผนพัฒนาการเมือง รวมทั้งติดตามสอดส่องและประสานงานกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคประชาสังคม และองค์กรต่างประเทศหรือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อให้นำแผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเคร่งครัด

ทางสภาพัฒนาการเมืองจังหวัดแพร่ จึงได้จัดทำเวทีติดตาม สอดส่องการนำแผนพัฒนาการเมืองสู่การปฏิบัติเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ขึ้น ที่โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ อำเภอเมืองแพร่โดยมีนายชัยสิทธิ์ รัตนชัยสิทธิ์ ปลัดจังหวัดแพร่ เป็นประธานเปิดงาน เพื่อให้มีการนำแผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเพื่อผลักดันให้หน่วยงานต่างๆ มีแผนปฏิบัติการภายใต้แผนพัฒนาการเมือง และแผนปฏิบัติการประจำปีของสภาพัฒนาการเมือง โดยจะมีการนำเสนอแผน และแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นในการขับเคลื่อนแนวทางการปรองดองสู่การพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง



ฉัตรชัย พวงขจร / ข่าว /พิมพ์           

จังหวัดแพร่ แจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักไปจนถึงสิ้นเดือนนี้

จังหวัดแพร่แจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนหนักในระยะ 26- 31 กรกฎาคมนี้ อาจส่งผลให้เกิดอุทกภัย ดินโคลนถล่ม

นายธนากร อึ้งจิตรไพศาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่กล่าวว่า จากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่า ในช่วงวันที่ 26-31 กรกฎาคม 2557 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ทำให้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น และบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนตกหนักบางแห่ง

เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากฝนตกหนัก อาจสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน และผลผลิตทางการเกษตร  จังหวัดแพร่จึงขอแจ้งเตือนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการรับสถานการณ์ และให้ทุกอำเภอดำเนินการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนภัยให้ราษฎรได้รับทราบถึงสภาวะอากาศ ที่จะมาถึง เพื่อให้สามารถเตรียมรับสถานการณ์ และหาวิธีการป้องกันและแก้ไข หลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ให้ระมัดระวังภัยจากธรรมชาติ ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งบ้านเรือน โรงเรือนและพืชผลทางการเกษตร ขอให้ระมัดระวังการใช้เครื่องมือสื่อสาร โทรศัพท์มือถือกลางที่โล่งแจ้งในขณะเกิดฟ้าคะนอง และขอให้เตรียมการป้องกันและระมัดระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติ ในระยะ นี้ ควรจัดเจ้าหน้าที่อยู่ปฏิบัติงานเฝ้าระวังเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ รวมถึงใช้ประโยชน์จาก มิสเตอร์เตือนภัยที่ประจำอยู่ในหมู่บ้านเสี่ยงภัย ในการแจ้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรายงานสถานการณ์ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจทราบทุกระยะจนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุด ทางโทรศัพท์หมายเลข 0-5553-3680 โทรสาร 0-5552-2513



ฉัตรชัย พวงขจร / ข่าว /พิมพ์            

ประกันสังคมพะเยา แนะผู้ประกันตนที่เป็นโสดควรทำหนังสือระบุชื่อผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์ กรณีเสียชีวิต เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการรับสิทธิ

นางสาวอรสา จุ้ยสาย ประกันสังคมจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า ผู้ประกันตนที่เป็นโสดควรทำหนังสือระบุชื่อผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนไว้ล่วงหน้า พร้อมเลขประจำตัวประชาชนของผู้ที่รับสิทธิประโยชน์และพยานให้ชัดเจนจึงจะถือว่าเอกสารฉบับดังกล่าวถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแสดงตัวว่าเป็นผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนอย่างแท้จริง และให้ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนเป็นผู้เก็บไว้เอง เพื่อจะนำไปยื่นที่สำนักงานประกันสังคม เมื่อผู้ประกันตนเสียชีวิต สำหรับผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีเสียชีวิตของผู้ประกันตนที่เสียชีวิตไปแล้ว ให้มายื่นขอรับสิทธิได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ประกันตนเสียชีวิต ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดใดก็ได้ที่สะดวก เพื่อป้องกันปัญหาการแอบอ้างรับประโยชน์ทดแทน หากไม่มีผู้รับประโยชน์ทดแทน เงินส่วนนั้นจะตกเป็นของกองทุนประกันสังคมตามที่กฎหมายกำหนด

ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมได้มีการจ่ายเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิตให้กับบุคคลที่ผู้ประกันตนระบุให้เป็นผู้รับสิทธิประโยชน์โดยการทำหนังสือระบุไว้ หากผู้ประกันตนไม่ได้ทำหนังสือระบุไว้ว่าให้ใครเป็นผู้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ทางสำนักงานประกันสังคมจะจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย สำหรับผู้ประกันตนที่แต่งงานแล้ว มีคู่สมรส บุตร หรือบิดามารดา ที่ยังมีชีวิตอยู่หากไม่ประสงค์จะมอบให้ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิเฉพาะราย จะไม่ทำหนังสือระบุชื่อผู้มีสิทธิรับสิทธิประโยชน์ก็ได้ เพราะทางสำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิคนละเท่าๆ กัน แต่สำหรับผู้ประกันตนที่ไม่ได้แต่งงาน หรือบิดามารดาเสียชีวิต และไม่มีทายาท หากประสงค์จะมอบให้แก่บุคคลอื่นเป็นผู้มีสิทธิรับเงินดังกล่าว ผู้ประกันตนสามารถทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนได้ หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดพะเยา โทร. 054-484001 ต่อ 101 - 105 หรือที่สายด่วน 1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.sso.go.th



ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา

กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดทหารบกน่าน แถลงผลการดำเนินงานในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมา

กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดทหารบกน่าน (กกล.รส.จทบ.น.น.) แถลงผลการปฏิบัติงานของ กกล.รส.จทบ.น.น. ในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อรับทราบและนำไปขยายในการทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ในการแก้ปัญหาของประชาชนของจังหวัดน่าน

พลตรี วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อนจังหวัดทหารบกน่าน เป็นประธานแถลงผลการปฏิบัติงานของ กกล.รส.จทบ.น.น. ในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมา กล่าวว่า ตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 43/2557 และตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย (เฉพาะ) ที่ 24/2557 กกล.รส.จทบ.น.น. ได้ร่วมกับฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกไปดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อความสงบ และความสุขของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดน่าน ดังต่อไปนี้
          1. การจัดระเบียบสังคม ได้แก่ ร้านเกมส์ ร้านนวดแผนโบราณแอบแฝงการขายบริการทางเพศ เงินกู้นอกระบบ สลากกินแบ่งรัฐบาลที่ขายเกินราคา บ่อนการพนัน
          2. การจัดระเบียบการให้บริการขนส่งสาธารณะรับจ้าง ได้แก่ การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์ รดตู้ รถสองแคว รถ TAXI รถบรรทุกขนส่งสินค้า/พืชผลทางการเกษตร
         3. การปราบปรามการค้ายาเสพติดและอาวุธสงคราม ได้แก่ การปราบปรามยาเสพติดในเขตเทศบาลเมืองน่าน และในพื้นที่จังหวัดน่าน การจับกุมผู้กระทำผิดด้านอาวุธสงครามและอาวุธที่ผิดกฎหมาย การเชิญตัวบุคคลเป้าหมายมาพบเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ข้อมูลด้านยาเสพติด
          4. การจับกุมผู้บุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้และที่สาธารณะ ได้แก่ กรณีไร่พุทธรักษา 88 อยู่บ้านทุ่งช้าง ตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง และไร่จันทร์สม 88 อยู่บ้านนาวงศ์ ตำบลเจดีย์ชัย อำเภอปัว กรณีการออกโฉนดทับพื้นที่ป่าและการตัดไม้หวงห้ามป่าบ้านห้วยยาง ตำบลทุ่งช้าง อำเภอทุ่งช้าง กรณีการบุกรุกไร่พิมานมาศ อยู่บ้านรัชดา 2 ตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง กรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าในเขาตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน และตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง
         5. การรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนที่ผ่านมา จำนวน 85 เรื่อง โดยแยกเป็นกลุ่มประเด็นปัญหา ได้แก่ การบุกรุกพื้นที่ผ่า และพื้นที่สาธารณะ 7 เรื่อง การทุจริตและประพฤติมิชอง 24 เรื่อง สาธารณูปโภค 35 เรื่อง เศรษฐกิจ 18 เรื่อง และด้านมลภาวะและสิ่งแวดล้อม 1 เรื่อง
        6. การช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง/อุทกภัย ช่วยเหลือผู้ยากไร้ และออกชุดปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของหน่วยทหาร / ส่วนราชการ ในพื้นที่
        7. โครงการแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง กองทัพภาคที่ 3 ระยะการดำเนินการกำหนดไว้ 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน 1 สิงหาคม – กันยายน 2557 ระยะสานต่อโครงการ ตุลาคม 2557 – กันยายน 2557 และ ระยะสานต่อโครงการ ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป การจัดโครงการดังกล่าวเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกสาธารณะโดยเน้นแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ซึ่งในระยะเร่งด่วนทุกภาคส่วนได้ดำเนินการโดยใช้หลักการ โครงการ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ซึ่งดำเนินการไปแล้ว

ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อนจังหวัดทหารบกน่าน กล่าวว่า จากการออกไปให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ดังกล่าว ของทุกภาคส่วน ได้ชี้แนะผู้ที่กระทำผิดให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข ถูกต้องตามกฎระเบียบ และถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบสุข ความสามัคคี เพื่อคืนความสุขให้ประชาชนต่อไป



พวงพยอม  คำมุง / ข่าว

มทบ.33 เชิญบริษัทผู้รับซื้อผลผลิตลำไยรายใหญ่ในจังหวัดลำพูนหารือแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตลำไยตกต่ำ

มทบ.33 เชิญบริษัทผู้รับซื้อผลผลิตลำไยรายใหญ่ 5 รายในจังหวัดลำพูนเข้าร่วมหารือแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตลำไยตกต่ำ พร้อมสนับสนุนให้มีการประกาศมาตรการกำหนดราคารับซื้อจากกระทรวงพาณิชย์ต่อไป

ที่ห้องประชุมมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ศรายุธ รังษี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เป็นประธานประชุมร่วมกับบริษัทผู้รับซื้อลำไยรายใหญ่ 5 รายในจังหวัดลำพูน ได้แก่ บริษัท ๑๖๘ ตำบลป่าซาง, บริษัท ไทฟง อำเภอเมือง, บริษัท CT อำเภอป่าซางและบริษัท RK อำเภอป่าซางและอำเภอลี้ เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการขอความร่วมมือรับซื้อผลผลิตลำไยจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม เนื่องจากในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า ราคาเฉลี่ยเมื่อระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ลําไยสดร่วง AA จากกิโลกรัมละ ๒๐ – ๒๔ บาท เหลือแค่กิโลกรัมละ ๑๙.๑๒ บาท ลําไยสดร่วงเกรด A จากกิโลกรัมละ ๑๒ – ๑๕ บาท เหลือกิโลกรัมละ ๑๐.๑๒ บาท และยังมีแนวโน้มลดลงอีก ซึ่งทางบริษัทรับซื้อผลผลิตได้แจ้งข้อมูลว่า เป็นเพราะในช่วงเวลานี้มีผลผลิตลำไยภายในประเทศจีนออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทำให้ราคาขายลำไยอบแห้งลดลงจากช่วงต้นเดิอนกรกฎาคมที่ เกรรด AA กิโลกรัมละ ๘๐ – ๙๐ บาท เหลือเพียงกิโลกรัมละ ๗๙ บาท ประกอบกับปัจจุบันผลผลิตลำไยรูดร่วงยังล้นเตาอยู่มาก ทำให้ราคาที่รับซื้อจากเกษตรกรเหลือเพียงกิโลกรัมละ ๑๙.๑๒ บาท จากราคาเฉลี่ยน ๒๐ – ๒๔ บาทเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมแนะนำว่าเกษตกรควรชะลอการเก็บผลผลิตลำไยเพื่อให้ผลผลิตโตเต็มที่เพื่อพัฒนาเกรดเป็น AA สามารถขายผลผลิตได้ในมูลค่าที่สูงขึ้น ส่วนผู้แทนเกษตรกรได้แจ้งข้อมูลว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ ๑๒ บาท และราคารับซื้อผลผลิตที่เกษตรกรสามารถรับได้ไม่ขาดทุนนั้น เกรด AA กิโลกรัมละ ๒๐ บาท เกรด A กิโลกรัมละ ๑๖ บาท เกรด B กิโลกรัมละ ๘ บาท หากขายราคาตลาดในปัจจุบัน เกษตรกรจะขาดทุนไม่สามารถรับได้ ซึ่งที่ประชุมรับทราบข้อมูล จากนั้นที่ประชุมได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นคือ ผู้แทนจากหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่าอาจมีการประกาศใช้มาตรการทางกฎหมายในการกำหนดราคารับซื้อผลผลิต ซึ่งทางบริษัทรับซื้อสนับสนุนให้มีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย เพื่อให้ทางประเทศจีนรับทราบมาตรการของประเทศไทย พร้อมการกระจายผลผลิตลำไยสดไปยังห้างโมเดิร์นเทรดที่มีสาขาทั่วประเทศ และการกระจายผลผลิตลำไยผ่านศูนย์กระจายสินค้าของกระทรวงมหาดไทยไปยังจังหวัดปลายทาง ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ในเรื่องคุณประโยชน์จากการบริโภคลำไยสดและลำไยแปรรูปให้ประชาชนทั้งในประทเศและต่างประเทศได้รับทราบ เพื่อเป็นการส่งเสริมการตลาดของผลผลิตลำไยอีกทางหนึ่ง



ข่าวโดย : วสันต์ มีจินดา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า จังหวัดเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมพิจารณาแนวทางการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนด Road Map การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ อนุรักษ์ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีแนวทางขับเคลื่อนทั้งระยะเร่งด่วน (6 เดือน) ระยะปานปลาง (1 ปี) ระยะยาว (1 ปีขึ้นไป)

วันนี้ (29 ก.ค.57) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และคณะอนุกรรมการ ฯ เข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมพิจารณาแนวทางการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนด Road Map การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ อนุรักษ์ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีแนวทางขับเคลื่อนทั้งระยะเร่งด่วน (6 เดือน) ระยะปานปลาง (1 ปี) และ ระยะยาว (1 ปีขึ้นไป)

นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ รายงานว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งที่ 64/2557 ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2557 เรื่องการปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งสรุปสาระสำคัญโดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านการป้องกัน ปราบปราม ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกภาคส่วนต่าง ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มีข้อสั่งการให้จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าจังหวัดเชียงใหม่ (คปป.จ.ชม.) ทุกเดือน

สำหรับสาระสำคัญของการประชุมนั้น ในระเบียบวาระเรื่องเพื่อทราบ ฝ่ายเลขานุการ ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ชี้แจงถึงคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติหลายฉบับ ได้แก่ คำสั่งที่ 64/2557 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557 เรื่องการปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ คำสั่งที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากร ป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสถานการณ์ปัจจุบัน ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ นอกจากนั้นยังได้ชี้แจงถึงคำสั่งจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 2800/2557 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2557 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงาน ติดตาม ตรวจสอบ กลั่นกรองเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ที่ได้รับจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยมณฑลทหารบกที่ 33 รวมทั้งการรายงานสถิติคดีด้านป่าไม้และสถานการณ์ด้านการบุกรุกและลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2557 และการสรุปผลการสนธิกำลังเพื่อดำเนินการปิดล้อม/ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในห้วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2557 ในพื้นที่ อำเภอพร้าว แม่แตง และอำเภอเชียงดาว รวม 4 ครั้ง โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับ Road Map การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ อนุรักษ์ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่นั้นได้กำหนดกลยุทธ์ และแนวทางขับเคลื่อนไว้ 3 กลยุทธ์โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนทั้งระยะเร่งด่วน (6 เดือน) ระยะปานกลาง (1 ปี) และ ระยะยาว (1 ปีขึ้นไป) ดังนี้

กลยุทธ์ที่ 1 ปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายป่าไม้ ใน ระยะเร่งด่วน ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมปราบปรามการกระทำผิดกฏหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษื เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานและปรานงานโดยใช้กลไกคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการตัดไม้ทำลายป่า (คปป.) และคณะอนุกรรมการการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าระดับจังหวัด (คปป.จ.) จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (คปป.อ.) ในระดับอำเภอเพื่อเฝ้าระวังแกไขการบุกรุกป่าระดับอำเภอ การสนธิกำลังทั้งในพื้นที่วิกฤต และพื้นที่ไม่วิกฤต เข้าปฏิบัติการในพื้นที่ จัดตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่ล่อแหลมต่อการกระทำผิด จุดละ 7 คน รวม 73 จุด สำรวจเพื่อจัดทำแผนการจัดตั้งหน่วยพิทักษ์เพิ่มเติมเพื่อป้องกันและครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของอุทยาน ฯ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ประมาณ 40,000 ไร่ต่อหน่วย รวม 32 หน่วย รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยป้องกันรักษาป่า (กรมป่าไม้) เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดตั้งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการควบคุมตรวจสอบ กิจการการแปรรูป การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ การค้าไม้แปรรูป ตลอดจนการค้าหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้หวงห้าม ระยะปานกลาง ให้ คปป.จ.ชม. ติดตาม ตรวจสอบ เร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฏหฝายว่าด้วยการป่าไม้ จัดตั้งและเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยป้องกันรักษาป่าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมพื้นที่ป่าจังหวัดเชียงใหม่ ระยะยาว ใช้มาตรการทางสังคม ส่งเสริมภาคประชาชนเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังรักษาป่า/ แจ้งเบาะแสการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวน เฝ้าระวัง โดยใช้อาศยาน และ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

กลยุทธ์ที่ 2 ปฏิรูประบบจัดการพื้นที่ป่าไม้ โดย ระยะเร่งด่วน ตรวจสอบสภาพพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศที่เป็นปัจจุบัน จัดพิมพ์แผนที่แนวเขตป่าที่ยังคงมีสภาพป่า โดยแนวเขตดังกล่าวผ่านการตรวจสอบและสำรวจร่วมกันกับหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาชน เพื่อจำกัดเขตพื้นที่ป่าไม้จริงไว้ และคุ้มครองกำกับดูแลรักษา ผนวกพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม เร่งดำเนินการสำรวจข้อมูลถือครองที่อยู่อาศัยในพื้นที่ป่า พิสูจน์สิทธิ์ ตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ให้แล้วเสร็จในทุกพื้นที่ และ เร่งจัดทำแนวควบคุมเพื่อป้องกันการขยายเบิกพื้นที่ใหม่ในช่วงขณะไม่สามารถอพยพออกพื้นที่ได้ ระยะปานกลางและระยะยาว ประกาศเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม รับรองสิทธิทำกินตามหนังสืออนุญาต สทก. ตรวจพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบการทับซ้อนของพื้นที่ป่าไม้กับที่ดินประเภทอื่น (ส.ป.ก. / นส.3/ เอกสารสิทธิที่ออกมิชอบ)

กลยุทธ์ที่ 3 อนุรักษ์ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ใน ระยะเร่งด่วน ฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรม และพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่รวมประมาณ 50,096 ไร่ พื้นที่ถูก บุกรุกแปลงเล็กให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปดำเนินการปลูกหลังดำเนินคดี พื้นที่ถูกบุกรุกแปลงใหญ่จัดทำแผนขอสนับสนุนงบประมาณ และปลูกแบบประชาอาสา จัดชุดประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ และชุดมวลชนสัมพันธ์เข้าไปทำความเข้าใจกับราษฎร เรื่องการอนุรักษ์ เริ่มดำเนินการในพื้นที่วิกฤตก่อน จัดฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพเสริมสร้างเครือข่าย ทสม. รสทป. และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยในการดูแลพื้นที่ป่าในหมู่บ้านทุกแห่ง นำแนวทางโครงการตามแนวพระราชดำริ เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่วิกฤตให้อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล ระยะปานกลางและระยะยาว ฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกทำลายทันทีที่ถูกบุกรุกทำลาย ทันทีที่คดีสิ้นสุดลง อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และสนับสนุนเครือ่ายภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าในชุมชนที่อยู่รอบป่า (Buffer Zone)




ข่าวโดย : ราตรี จักร์แก้ว/ณัฐ สินันตา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดและคณะกรรมการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย

พบพื้นที่ปลูกฝิ่นในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 355 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 21.44 สูงสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ 1,700 ไร่เศษ เร่งบูรณาการกำลังทหาร ตำรวจลงพื้นที่แก้ไขปัญหา ขณะที่คดีอาญา 5 กลุ่มมีสถิติลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

บ่ายวันนี้ (29 ก.ค 57) นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดและคณะกรรมการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยจังหวัดเชียงใหม่ ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ซึ่งที่ประชุมรับทราบการสำรวจและตัดทำลายไร่ฝิ่นในฤดูกาลผลิต 2556/2557 สามารถตัดทำลายได้ร้อยละ 99.34 และพบว่าในภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร น่าน เชียงราย แพร่ ลำปาง เพชรบูรณ์ มีพื้นที่ปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้น จากฤดูกาลผลิต 2555/2556 จำนวน 1,659.02 ไร่ เป็น 2,014.77 ไร่ เพิ่มขึ้น 355 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 21.44 สูงสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ 1,716.68 ไร่ ในเขตอำเภออมก๋อย และเชียงดาว และมีพฤติการณ์ที่หลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่โดยปลูกลึกเข้าไปในป่า ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปบูรณาการกับกำลังทหารปราบปรามในพื้นที่

ด้านผลการจับกุมคดียาเสพติด ผู้แทนสำนักงานปราบปรามยาเสพติดภาค 5 รายงานว่า คดีการจับกุมยาเสพติดของจังหวัดเชียงใหม่เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกัน คือเดือนตุลาคม – มิถุนายน ปีนี้กับปี 2556 ที่ผ่านมาพบว่าสูงกว่าถึง 819 คดี โดยปี 2556 จับกุมได้ 5,048 คดี ส่วนปี 2557 จับได้ 5,867 คดี ผู้ต้องหา 6,012 ราย เป็นคดีเสพสูงสุด รองลงมาคือข้อหาครอบครอง และครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนอัตราผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่ออัตราประชากร 70 ต่อ 100,000 คน ช่วงเวลาเดียวกันพบว่าสถิติปีนี้ สูงกว่าปีที่ผ่านมาเช่นกัน คือจากร้อยละ 77.05 เป็นร้อยละ 77.87 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.72 เฉพาะเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาตัวยาเสพติดที่จับกุมได้ของจังหวัดเชียงใหม่อันดับหนึ่งคือยาบ้า รองลงมาเป็นยาบ้าร่วมกับเฮโรอีน เฮโรอีน และกัญชา ตามลำดับ รูปแบบการลำเลียงพบใช้รถโดยสารประจำทาง โดยซุกซ่อนในร่างกายผู้โดยสาร และการลำเลียงทางน้ำโดยใช้เรือเป็นพาหนะจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังฝั่งไทย และมีแนวโน้มการลำเลียงยาเสพติดจะซุกซ่อนมากับผู้รับจ้างหน้าใหม่โดยอาศัยรถโดยสารประจำทาง และซุกซ่อนมากับยานพาหนะส่วนบุคคล กลุ่มบุคคลที่ควรเฝ้าระวังเป็นชาวเขาที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ตอนใน อย่างไรก็ดีในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไม่พบการจับกุมไอซ์ในปริมาณมาก อาจเป็นเพราะนโยบายจัดระเบียบสังคมและความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่

ด้านสถิติคดีอาญา 5 กลุ่ม ในช่วงเดือนมิถุนายน เปรียบเทียบปีนี้กับปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีสถิติลดลง พบเพิ่มขึ้นเพียงคดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย ด้าน พรบ.อาวุธปืน และการพนัน และคดีอาญายักยอกทรัพย์

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เน้นย้ำที่ประชุมให้รับทราบและดำเนินการตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจาก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. ด้านติดตามผู้บำบัดฟื้นฟูผู้บำบัดยาเสพติดว่าอยู่ที่ไหนและจัดให้มีงานทำ ความรับผิดชอบหากมีการสั่งซื้อขายยาเสพติดจากเรือนจำ การตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่สูงผิดปกติบริเวณอำเภอชายแดน ตลอดจนพฤติกรรมเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้มีอิทธิพล โดยให้ดำเนินการอย่างจริงจังและเด็ดขาด


ข่าวโดย : วสันต์ มีจินดา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

รอง.ผวจ.พะเยาเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมด่วน..รับมือลำไยราคาตกต่ำ สั่งตั้งจุดจำหน่ายผลผลิต หาตลาดปลายทาง

รอง.ผวจ.พะเยาเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมด่วน..รับมือลำไยราคาตกต่ำ สั่งตั้งจุดจำหน่ายผลผลิต หาตลาดปลายทาง ทั้งในและนอกพื้นที่รับผลิตกว่า 32,0000 ตัน วอนเกษตรกรชะลอเก็บผลผลิตหวั่นไม่มีคุณภาพขายไม่ได้ราคา...

วันนี้(28 ก.ค. 57) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ห้องปฏิบัติการรองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ศาลากลางจังหวัดพะเยา เรืออากาศตรีสุวิชา แก้วมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้เรียกหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย พาณิชย์จังหวัด , หัวหน้าสำนักงานจังหวัด , การค้าภายในจังหวัด , ท้องถิ่นจังหวัด , เกษตรและสหกรณ์จังหวัด , เกษตรจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมด่วน เพื่อหารือการเตรียมการรับมือราคาผลผลิตลำไยตกต่ำ หลังจากสถานการณ์ราคาผลผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวานนี้(27 ก.ค.) ลำไยช่อเกรด AA ราคากิโลกรัมละ 20 บาท เกรด A 13 บาท และเกรด B 8 บาท ส่วนลำไย ร่วง เกรด AA กิโลกรัมละ 19 บาท เกรด A 10 บาท เกรด B 4 บาท และเกรด C 1 บาท เท่านั้น

เรืออากาศตรีสุวิชา แก้วมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า การเชิญหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องมาประชุมวันนี้ ก็เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือราคาผลผลิตลำไยตกต่ำ หลังจากได้รับรายงานว่าขณะนี้ราคาผลผลิตมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปีนี้เองจังหวัดพะเยามีผลผลิตที่คาดการณ์ว่าจะออกสู่ตลาดมีมากถึง 32,265 ตันซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา จังหวัดพะเยาเองจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ซึ่งจากการหารือ จังหวัดพะเยาจะมีแนวทางที่จะดำเนินการดังนี้ คือ การเปิดจุดจำหน่ายผลผลิตลำไยคุณภาพในงาน “เดินหน้าประเทศไทย คืนความสุขให้คนในชาติ” ณ บริเวณข่วงวัฒนธรรมริมกว๊านพะเยา ” เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคมนี้ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 19 สิงหาคม นอกจากนี้ยังได้ให้ท้องถิ่นจังหวัด ประสานทาง อบจ.พะเยา เปิดจุดจำหน่ายผลผลิต อีก 1 แห่งที่บริเวณศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์กว๊านพะเยา พร้อมทั้งประสานนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่างๆ เพื่อสนับสนุนในการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ พร้อมกันนี้ทางปกครองจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยได้มีการเปิดจุดจำหน่ายผลผลิตลำไยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งให้ทางปกครองประสานกับทางกลุ่มสหกรณ์ผู้ผลิตลำไยทั้ง 9 กลุ่มในพื้นที่ ในการอำนวยความสะดวกการนำผลผลิตไปจำหน่ายในตลาดปลายทางที่ จ.พระนครศรีอยุธยาด้วย เบื้องต้นจะนำไปจำหน่ายในล๊อตแรกไม่น้อยกว่า 2,000 ตัน นอกจากนี้ยังได้ให้ทางสำนักงานจังหวัดออกหนังสือเวียนแจ้งส่วนราชการให้สนับสนุนการบริโภคและซื้อผลผลิตไปฝากญาติพี่น้องในต่างจังหวัด ส่วนพาณิชย์จังหวัดได้มีการออกประกาศแนวทางในการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อแจ้งและประชาสัมพันธ์แก่เกษตรกร เพื่อเป็นการป้องกันการเร่งเก็บผลผลิตออกจำหน่ายในระยะนี้ เนื่องจากผลผลิตยังไม่สุกพร้อมส่งออกตลาด จะทำให้ราคาผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร และส่งผลเสียกับชื่อเสียงของลำไย จังหวัดพะเยาด้วย ดังนั้นจึงขอให้เกษตรกรชะลอการเก็บผลผลิตในระยะนี้ไปก่อน จนกว่าผลผลิตจะสุกพร้อมเก็บ ซึ่งมาตรการทั้งหมดนี้ เป็นเพียงมาตรการระยะแรกของจังหวัดพะเยาในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตลำไยตกต่ำเท่านั้น ส่วนระยะต่อไปนั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อวางแนวทาง และเร่งให้ความช่วยเหลือกเกษตรกรต่อไป

สำหรับปีนี้จังหวัดพะเยาคาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากถึง 32,265 ตันซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา โดย อ.เชียงคำปลูกมากสุดผลผลิตประมาณ 13,763 ตัน ล่าสุดขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดเพียงร้อยละ 10 ของผลผลิตทั้งหมดเท่านั้น ... ขณะเดียวกันวันนี้ทางพาณิชย์จังหวัด พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่ อ.เชียงคำ เพื่อติดตามการรับซื้อผลผลิตลำไย ว่าราคารับซื้อจะไปตามประกาศของทางราชการหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการเอาเปรียบของผู้รับซื้อผลผลิตกับเกษตรกรผู้ปลูกลำไย



ข่าวโดย : นิรันต์ บุญแก้ว
หน่วยงาน : ส.ปชส.พะเยา

โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จัดงานเทิดพระเกียรติฯ และถวายพานพุ่ม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพ ราชปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน จัดพิธีถวายพานพุ่ม และจัดงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2557 โดยมีข้าราชการ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา ร่วมในพิธีถวายพานพุ่ม
 
 เนื่องในวโรกาส วันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารี ในวันที่ 28 กรกฎาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญยิ่งของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงเป็นผู้ให้ กำเนิดโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ในท้องถิ่นทุรกันดาร และชนบทห่างไกล และในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และองค์นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สาขาปัว จึงได้จัดงานเทิดพระเกียรติฯ และถวายพานพุ่ม ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ณ ห้องประชุมพญาภูคา โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน ซึ่งมี นายจตุพร ชนะศรี นายอำเภอปัว เป็นประธานประกอบพิธี โดยจัดให้มีพิธีทางพระพุทธศาสนา ถวายราชสักการะกล่าวถวายพระพรชัยมงคล ลงนามถวายพระพร และพิธีถวายพานพุ่มของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา
 
 
 พวงพยอม  คำมุง / ข่าว

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาร่วมกับกสทช.จัดโครงการสัมนาเพื่อพัฒนาเครือข่ายและชุมชนเข้มแข็งประเทศชาติยั่งยืนกรณีศึกษาการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและความต้องการของเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตยวุฒิสภา

ที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวจิตติเทวี ตติยรัตน์ รองเลขาธิการวุฒิสภาเป็นประธานเปิดงานโครงการสัมมนาเพื่อพัฒนาเครือข่ายและชุมชนเข้มแข็งประเทศชาติยั่งยืน กรณีศึกษาการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและความต้องการของเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตยวุฒิสภา ซึ่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาร่วมกับกสทช. จัดขึ้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างผู้นำนักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมให้แก่ผู้นำทุกภาคส่วนที่มาจากเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตยวุฒิสภา ที่ผ่านการอบรมของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และเป็นการศึกษาและประเมินผลการปฏิบัติงาน รวมถึงความต้องการของเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตย วุฒิสภา ในการสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานและเป็นพลังที่จะกระตุ้นให้เกิดจิตอาสาที่จะเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆ ของวุฒิสภา ตลอดจนเพื่อพัฒนาเครือข่ายและชุมชนเข้มแข็ง ประเทศชาติยั่งยืนรองรับการเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในอนาคต ผู้เข้าร่วมโครงการสัมมนาฯ ประกอบด้วยเครือข่ายต่างๆ ในพื้นที่ ๑๗ จังหัวดภาคเหนือ ได้แก่ สื่อมวลชน ผู้บริหารสถานศึกษา กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและวิทยุชุมชน เป็นต้น

การจัดโครงการสัมนาเพื่อพัฒนาเครือข่ายและชุมชนเข้มแข็งประเทศชาติยั่งยืน กรณีศึกษาการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและความต้องการของเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตยวุฒิสภา กำหนดจัดขึ้นจำนวน 11 ครั้ง ในทุกภูมิภาค ให้กับเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตยวุฒิสภาและกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการผลักดันและพัฒนาเครือข่ายให้เป็นประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานในเชิงวิชาการ และเป็นพลังกระตุ้นให้เกิดจิตอาสา ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆของวุฒิสภา สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันและพร้อมที่จะสนับสนุนเพื่อให้เกิดเครือข่ายผู้นำนักประชาธิปไตย วุฒิสภาที่เข้มแข็งและยั้งยืนต่อไป


ข่าวโดย : วสันต์ มีจินดา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

จังหวัดเชียงใหม่ประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ณ อาคารสวัสดิสงเคราะห์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ โดยมีข้าราชการ และพสกนิกรร่วมพิธีจำนวนมาก

วันนี้ (28 ก.ค.57) เวลา 09.00 น. ณ อาคารสวัสดิสงเคราะห์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายนาวิน สินธุสะอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อเทิดทูนสถาบันพระมหาโดยพิธีการจะเริ่มในเวลา 08.15 น. เจ้านายฝ่ายเหนือ กงสุลต่างประเทศ ข้าราชการพลเรือน ตุลาการ อัยการ ตำรวจ ทหาร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายเทศมนตรีนครเชียงใหม่ สมาชิกองค์กรปกครงอส่วนท้องถิ่น ข้าราชการบำนาญ สมาคม ชมรม สโมสร พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นักศึกษา พร้อมกัน ณ บริเวณพิธีและลงนามถวายพระพร จากนั้นในเวลา 09.00 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นประธานในพีธีลงนามถวายพระพร จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ต่อด้วยพิธีสงฆ์ พิธีถวายเครื่องสักการะ (พานพุ่มดอกไม้สด) กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พิธีถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธีกษัตริย์และแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ

วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย ที่จักได้แสดงความจงรักภักดี และเทิดพระเกียรติคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ มุ่งมั่น ตั้งใจ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง ล้วนเป็นไปเพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานและทรงอุปถัมภ์ โครงการมากมายหลายโครงการ อาทิ พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต่อเนื่องไปจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าโดยไม่มีภาระผูกพันที่ต้องใช้ทุนคืน โดยมีพระราชประสงค์ให้เยาวชนเติบโต สามารถพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง และเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของประเทศ ทรงอุปถัมภ์โครงการสายใยรักแห่งครอบครัวในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงรับโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ไว้ในพระราชานุเคราะห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและบูรณาการวิทยาการในแต่ละสาขา ของภาคเกษตรกรรมให้ก้าวหน้า

ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงประกอบพระราชกรณียกิจแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มากมายหลายโครงการ อาทิ การเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ในวันสำคัญต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา อาทิ พระราชทานบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน พระราชทานพระราชวโรกาสให้นักกีฬาไทย เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานพร เพื่อไปแข่งขันกีฬาในโครงการต่าง ๆ และการเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏในทุกภาคเป็นประจำทุกปีและในยามที่ประเทศไทยประสบอุทกภัยก็ได้พระราชทานความช่วยเหลือโดยพระราชทานถุงยังชีพ เสื้อชูชีพ ยาและเวชภัณฑ์ ไปแจกจ่ายให้กับราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วมอย่างทั่วถึง และยังได้พระราชทานครัวจากโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวในพระราชูปถัมภ์ไปประกอบอาหารเลี้ยง พระมหากรุณาธิคุณ และพระเมตตาคุณ ที่ทรงปฏิบัติอย่างมากมาย ล้วนจารึกอยู่ในหัวใจ ของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป



ข่าวโดย : ราตรี จักร์แก้ว
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

จังหวัดเชียงใหม่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องด้วยนพเคราะห์/สืบชะตาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2557 โดยมีข้าราชการ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา ร่วมในพิธีกว่า 100 คน

วันนี้ (28 ก.ค.57) เวลา 10.29 น. ณ ศาลาเบญจสัตตยายุศรีวิชัยนุสรณ์ วัดศรีโสดา พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องด้วยนพเคราะห์/สืบดวงพระชาตาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสา- ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2557 เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ปราศจากโรคาพยาธิ มีความเจริญรุ่งเรือง อันเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นเครื่องหมายคนดีตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา และเพื่อเป็นการเทิดทูนและแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพิธีการเริ่มในเวลา 10.00 น.ข้าราชการ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนาพร้อมกัน ณ มณฑลพิธีศาลาเบญจสัตตยายุศรีวิชัยนุสรณ์ จากนั้นในเวลา 10.29 น. ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล ประธานในพิธี ฯ เปิดกรวยสักกาะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และถวายถวายพระพรชัยมงคล พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จำนวน 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ โดยประธานในพิธีฯ จุดเทียนสืบดวงพระชาตา และเทียนบูชาคุณพระรัตนตรัยพร้อมกันด้วย จากนั้นประธานในพิธีจุดเทียนส่องธรรม เจ้าหน้าที่อาราธนาธรรม พระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดศรีโสดา พระอารามหลวง แสดงพระธรรมเทศนา “สารากริวิชชาณสูตร” การถวายกัณฑ์เทศน์ และเครื่องจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนา ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นเสร็จพิธี



ข่าวโดย : ราตรี จักร์แก้ว/ณัฐ สินันตา/อนันต์ ชุ่มใจ
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

สหพันธ์เกษตรภาคเหนือ (สกน.) ยื่นหนังสือถึง คสช. เพื่อผลักดันปัญหาที่ดินให้เป็นวาระเร่งด่วน

สมาชิกสหพันธ์เกษตรภาคเหนือ (สกน.) จำนวน 200 คน ประกอบด้วยเกษตรจากพื้นที่ อ.สันทราย อ.แม่แจ่ม อ.จอมทอง อ.เชียงดาว อ.อมก๋อย อ.แม่ริม โดยมีนายดิเรก กองเงิน เป็นแกนนำ เพื่อดำเนินกิจกรรมส่งไปรษณียบัตรถึงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ และผู้ที่ไร้ที่ดินทำกิน และให้ผลักดันปัญหาที่ดินให้เป็นวาระเร่งด่วน

วันนี้ (28 ก.ค. 57) เวลา 10.00 น. ที่ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ยื่นหนังสือถึง คสช. เพื่อผลักดันปัญหาที่ดินให้เป็นวาระเร่งด่วน ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายนายชัยณรงค์ นันตาสาย ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่มารับหนังสือแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ดดยหนังสือมีเนื้อหาว่า

ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศยึดอำนาจการบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยได้มีตำสั่งฉบับที่ 11/2557 ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ส่งผลให้สิทธิของชมชนและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่เคยได้รับ การคุ้มครองตามมาตร 66 ของรัฐธรรมนูญ 2550 สิ้นสุดลง ต่อมา คสช. ได้มีคำสั่งที่ 64/2557 และ 66/2557 เรื่องการปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักตำรวจแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กอ.รมน. ดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้บุกรุกป่า โดย คสช. มีเจตนาที่ปราบปราม นายทุน ผู้มีอิทธิพล และขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งได้มีการเน้นย้ำว่าการตามคำสั่งดังกล่าวต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้น ๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้แต่ ในข้อเท็จจริงที่ปรากฏตลอดระยะเวลาเดือนเศษที่ผ่านมาหลังคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ ได้มีเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติการโดยไม่แยกแยะว่าเป็นนายทุน ผู้มีอิทธิพล หรือประชาชนผู้ยากไร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมาก่อนตลอดจนได้มีเจ้าหน้าที่บางส่วนอ้างคำสั่งดังกล่าวเข้าไปข่มขู่คุกคาม ทำให้เกิดความวิตก หวาดกลัว จนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งที่เคยดำเนินมาอย่างช้านานในอดีตกลับปะทุและเกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการขมขู่คุกคามและการเผชิญหน้าระหว่างหน่วยงานของรัฐกับชุมชน ลุกลามไปมากกว่านี้ ในนามของสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จึงขอเรียกร้องให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบ (คสช.) เร่งดำเนินการดังต่อไปนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน ให้หัวหน้า คสช. กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการด้วยความรอบคอบ เป็นธรรม โดยยึดมาตรการตามคำสั่งที่ 66/2557 ที่ระบุว่า การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกินซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ ยกเว้นผู้ที่บุกรุกใหม่ จะดำเนินการสอบสวน และพิสูจน์ทราบ เพื่อกำหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปทั้งนี้เร่งรัดสั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ที่อาศัยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 และเร่งรัด การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันบริหารจัดการที่ดินให้เป็นไปตามพระราชฎีกาจัดตั้งสถาบันฯ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันฯ และอนุมัติโครงการนำร่องธนาคารที่ดินจำนวน 167 ล้านบาทตามนัยยะมติคณะรัฐมนตรี 21 พฤษภาคม 2557 2.มาตรการระยะกลาง และระยะยาว ผลักดันให้เกิดการกระจายถือครองที่ดินโดยมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าและนำภาษีที่ได้มาจัดตั้งธนาคารที่ดินแก่คนจนและเกษตรรายย่อยได้มีโอกาสเข้าถึงที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยอย่างเป็นธรรม เพื่อผลักดันกฎหมายรองรับสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน ป่าไม้ น้ำ และทะเล เพื่อเป็นการกระจายในการทรัพยากรไปสู่ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรจุเนื้อหาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นดั่งเดิมมีสิทธิในการดูแลรักษา จัดการ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีในชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน


ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร/วิมลฉัตร สุดวิลัย
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร่วมกับสำนักพระพุทธศาสนา กรมศาสนา จัดโครงการ "สามเณรธรรมมาสน์ทอง"

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกรมศาสนา จัดโครงการส่งเสริมวิชาการเทศนาธรรม "สามเณรธรรมาสน์ทอง" เพื่ออนุรักษ์การเทศน์ตามแบบต้นฉบับดั้งเดิมไม่ให้สูญหาย

วันนี้ 28 กรกฎาคม 2557 เวลา 13.00 น. ได้มีพิธีเปิดโครงการส่งเสริมวิชาการเทศนาธรรม “สามเณรธรรมาสน์ทอง”(หนเหนือ) โดยพระเดชพระคุณพระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ประธานฝ่ายสงฆ์ และนายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเปิด ณ ห้องประชุมชุณหไชยพันธ์ อาคาร คุณแม่สนอง แตงอ่อน วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยความร่วมมือของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมศาสนา จัดขึ้นเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ในปี 2558 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สามเณรอันเป็นรากแก้วแห่งพระพุทธศาสนาได้ศึกษาเรียนรู้และสืบทอดวิถีแห่งการแสดงพระธรรมเทศนาอย่างถูกต้อง และต่อยอดความสามารถให้สามเณรเป็นนักเทศนาธรรม สามารถเผยแผ่หลักธรรมคำสอนตามแบบฉบับแห่งการเทศนาที่สืบทอดกันมา เพื่อความมั่นคงสถาพรของพระพุทธศาสนา

ทั้งนี้เป็นการค้นหาสามเณรต้นแบบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการคัดเลือกสามเณรจากทั่วประเทศเข้าร่วมการอบรมซึ่งแบ่งเป็นรายภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วยภาคกลางจัดขึ้นที่ วัดพิชยาญาติการาม กรุงเทพมหานคร ภาคใต้จัดที่ วัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคตะวันออก จัดที่ วัดมหาธาตุ จังหวัดยโสธร และภาคเหนือ จัดที่ วัดเจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับโครงการส่งเสริมวิชาการเทศนาธรรม “สามเณรธรรมาสน์ทอง”ในรอบแรก จะคัดเลือกสามเณรจากทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 300 รูป เพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมการอบรมรายภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดจะต้องเขียนบทเทศนาธรรมให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเหลือก 50 รูป ได้เข้าสู่รอบที่สอง เพื่ออบรมวิชาการเทศนาธรรม ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร จากนั้นจะคัดเลือกเหลือเพียง 10 รูป เพื่อเข้าสู่รอบที่สาม และต้องแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อพิจารณาคัดเลือกสามเณร 3 รูป ผู้เป็นเลิศได้รับโล่พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมรี


ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/สมัชญา หน่อหล้า
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมคณะกรรมการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิง ในพื้นที่ระดับอำเภอ

จังหวัดเชียงใหม่จัดประชุมคณะกรรมการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิง ในพื้นที่ระดับอำเภอ จากเดิมที่มีความกว้าง 60 – 70 เมตร เป็นขนาดกว้าง 90 เมตร เพื่อให้เส้นทางน้ำไหลผ่านได้สะดวก และป้องกันการเกิดอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดแนว 20 กิโลเมตร ในพื้นที่ 4 อำเภอ

วันนี้ (28 ก.ค.57) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขดลอกขยายแม่น้ำปิงในพื้นที่ระดับอำเภอ ซึ่งมีเป้าหมายขยายขนาดความกว้างของแม่น้ำปิงจากเดิม 60 – 70 เมตร เป็นขนาดกว้าง 90 เมตร เพื่อให้เส้นทางน้ำไหลผ่านได้สะดวก และป้องกันการเกิดอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดแนว 20 กิโลเมตร ในพื้นที่ 4 อำเภอ ประกอบด้วยอำเภอเมืองเชียงใหม่ สารภี แม่ริม และอำเภอหางดง เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดกรอบการทำงานเบื้องต้นของคณะทำงานการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดลอดขยายแม่น้ำปิงในพื้นที่ระดับอำเภอ ตามคำสั่งจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 1661/2557 ลงวันที่ 30 เมษายน 2557 ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการ 3 คณะ ดังนี้

คณะกรรมการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิง ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ (ฝ่ายความมั่นคง) เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด เป็นคณะกรรมการ โดยมี ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ เป็นกรรมการ/เลขานุการ มีหน้าที่เจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุก รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ บทลงโทษและระยะเวลาในการรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่บุกรุกล่วงล้ำลำน้ำแม่ปิง พร้อมทั้งสรุปความเห็น ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

คณะทำงานการเจรจาขอคืนพื้นที่บุกรุกเพื่อขุดลอกขยายแม่น้ำปิงในพื้นที่ระดับอำเภอ แยกเป็น 4 คณะ โดยแต่งตั้งตามพื้นที่ที่มีการบุกรุกในพื้นที่ 4 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสารภี อำเภอแม่ริม และ อำเภอหางดง โดยมีองค์ประกอบคณะทำงาน ฯ ประกอบด้วย นายอำเภอ เป็นประธานคณะทำงาน นายกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ปลัดเทศบาลตำบล/ปลัด อบต. กำนัน ในพื้นที่บุกรุกเป็นคณะทำงาน และ ปลัดเทศบาลตำบล/ปลัด อบต. เป็นคณะทำงาน/เลขานุการ เจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ เป็นคณะทำงาน/ผู้ช่วยเลขานุการ ทำหน้าที่ ดำเนินการสำรวจข้อมูลและจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่แม่น้ำปิงในเขตพื้นที่ตามแนวทางของคณะกรรมการเจารจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิงกำหนด จัดทำบัญชีข้อมูลผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ติดแม่น้ำปิงและสำรวจตรวจสอบผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ กำกับ ติดตามและดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่แม่น้ำปิงให้เป็นไปตามแผนการแก้ไขปัญหาการบุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิง กำกับและติดตามการดำเนินงานของคณะทำงาน และดำเนินการอื่น ๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่แม่น้ำปิง ตามที่คณะกรรมการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมาย

คณะทำงานการเจรจาขอคืนพื้นที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิง ด้านช่างสำรวจช่างเทคนิค มีองค์ประกอบคณะทำงาน ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานคณะทำงาน หัวหน้าฝ่ายรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 หรือผู้แทน ผู้อำนวยการกองช่างเทคนิคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เป็นคณะทำงาน เจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ เป็นคณะทำงาน/เลขานุการ มีหน้าที่ดำเนินการสำรวจข้อมูลและจัดทำแผนที่การบุกรุกพื้นที่แม่น้ำปิง ตามแนวทางที่คณะกรรมการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิงกำหนด จัดทำบัญชีข้อมูลผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ติดแม่น้ำปิงและสำรวจตรวจสอบผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และดำเนินการอื่น ๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่แม่น้ำปิง ตามที่คณะกรรมการเจรจาขอคืนพื้นที่ที่บุกรุกเพื่อขุดขยายแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมาย

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้คณะทำงานระดับอำเภอทั้ง 4 อำเภอดำเนินการตามหน้าที่ตามคำสั่ง โดยใช้ภาพโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ บัญชีรายชื่อผู้บุกรุก โดยขอรับการสนับสนุนข้อมูลจากเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอในพื้นที่ แผนที่แปลงภาษี และ เครื่อง GPS เป็นเครื่องมือในการเข้าไปสำรวจ โดยให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนนับจากวันนี้เป็นต้นไป


ข่าวโดย : ราตรี จักร์แก้ว/ณัฐ สินันตา/อนันต์ ชุ่มใจ
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

พสกนิกรชาวจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมใจจุดเทียนถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

พสกนิกรชาวจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมใจจุดเทียนถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ โดยมีข้าราชการ และพสกนิกรร่วมพิธีจำนวนมาก

วันนี้ (28 ก.ค.57) เวลา 19.00 น. ณ ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายนาวิน สินธุสะอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประกอบพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ นำหัวหน้าส่วนราชการ กงสุลต่างประเทศ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ สมาชิกองค์กรปกครงอส่วนท้องถิ่น ข้าราชการบำนาญ สมาคม ชมรม สโมสร พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นักศึกษา พร้อมกัน ณ บริเวณพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร หลังจากนั้นรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นประธานในพีธีร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพร กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ พร้อมชมพลุเฉลิมพระเกียรติจำนวน 9 ชุด อย่างสวยงามอลังการ

วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย ที่จักได้แสดงความจงรักภักดี และเทิดพระเกียรติคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ มุ่งมั่น ตั้งใจ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง ล้วนเป็นไปเพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานและทรงอุปถัมภ์ โครงการมากมายหลายโครงการ อาทิ พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต่อเนื่องไปจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าโดยไม่มีภาระผูกพันที่ต้องใช้ทุนคืน โดยมีพระราชประสงค์ให้เยาวชนเติบโต สามารถพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง และเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของประเทศ ทรงอุปถัมภ์โครงการสายใยรักแห่งครอบครัวในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงรับโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ไว้ในพระราชานุเคราะห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและบูรณาการวิทยาการในแต่ละสาขา ของภาคเกษตรกรรมให้ก้าวหน้า



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่