วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จังหวัดเชียงใหม่ เตรียมการรับมือหมอกควันไฟป่า พบ Hot Spot แล้ว 59 จุด แต่คุณภาพอากาศยังไม่เกินค่ามาตรฐาน

จังหวัดเชียงใหม่ประเมินสถานการณ์หมอกควันไฟป่า ในช่วง "80 วันแห่งการเฝ้าระวังและควบคุมหมอกควันไฟป่า" ระหว่างวันที่ 1 ก.พ - 21 เม.ย57 พบจุดความร้อน Hot Spot แล้ว 59 จุด มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าคุณภาพอากาศยังอยู่ในระดับปานกลาง ปริมาณฝุ่นละออง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 54-95 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ยังไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557) เวลา 14.00 น. ณ ห้อง POC ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นานชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันและไฟป่าจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับนายอำเภอ 25 แห่ง ทางระบบ VDO Conferenceร และผู้แทนส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาติดตามสถานการณ์และประเมินแนวโน้มช่วง "80 วันแห่งการเฝ้าระวังและควบคุมหมอกควันไฟป่า" ระหว่างวันที่ 1 ก.พ-21 เม.ย57 และวางมาตรการแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา

นายกมลไชย คชชา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้คุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งกำหนดไว้ที่ ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ค่ามาตรฐานไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งผลจากการตรวจวัดคุณภาพอากาศจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 จากสถานีตรวจวัดที่จากศาลากลาง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 95 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสถานีตรวจวัดโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 54 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จึงถือว่าคุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีข้อสังเกตว่า ในปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองจากสถานีโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยมักจะสูงกว่าสถานีศาลากลางจังหวัด แต่ในปีนี้พบว่ามีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า จากการศึกษาข้อมูลพบว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากปริมาณฝุ่นละอองจากก่อสร้างถนนจากบริเวณใกล้เคียง
ในขณะที่คุณภาพอากาศย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 -12 กุมภาพันธ์ พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 18-95 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร คุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี-ปานกลาง ถือว่าคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2556 ที่ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ มีค่าเฉลี่ยที่ 76 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่มีแนวโน้มน่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นต่อไป นอกจากนี้ ยังมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้คือทิศทางลม โดยขณะนี้ค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในอากาศในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะที่จังหวัดลำปางมีค่าเฉลี่ยเกินค่ามาตรฐาน อยู่ที่ 142 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รวมทั้งจังหวัดตาก และจังหวัดแพร่ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่ามาตรฐาน หากทิศทางลมพัดจากทิศใต้ จะส่งผลกระทบให้หมอกควันจากจังหวัดลำปางจะพัดมาสู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงขอให้ทุกอำเภอเตรียมการเฝ้าระวัง

ในส่วนของสถิติจุดความร้อนที่คาดว่าเป็นการเผาในที่โล่ง (HOTSPOT) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 – 11 กุมภาพันธ์ 2557 สะสม พบจำนวน 59 จุด มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 42 จุด โดยแนวโน้มปกติจะเริ่มจากอำเภอด้านใต้ขึ้นมาทางเหนือ ขณะนี้พบว่าอำเภอที่จุด Hotspot สะสมมากที่สุดคือ อ.ดอยเต่า จำนวน 17 จุด มากกว่าปี 2556 ในเวลาเดียวกันที่พบเพียง 1 จุด นอกจากนี้ ยังมีที่ อ.ฮอด จำนวน 11 จุด อำเภออมก๋อย จำนวน 11 จุด อำเภอสันทราบ จำนวน 8 จุด อำเภอจอมทอง จำนวน 7 จุด อำเภอเชียงดาว จำนวน 3 จุด อำเภอแม่วาง อำเภอดอยหล่อ และอำเภอเวียงแหง อำเภอละ 1 จุด และเมื่อจำแนกตามพื้นที่พบว่า มีจุด hotspot ในพื้นที่เกษตร จำนวน 5 จุด ในพื้นที่อนุรักษ์ จำนวน 27 จุด และพื้นที่ป่าสงวน จำนวน 27 จุด นอกจากนี้ ส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 พบรายงานสถิติรับแจ้งเหตุและปฏิบัติการดับไฟป่าสะสม ระหว่างวันที่ 1-11 กุมภาพันธ์ 2557 รวมจำนวน 21 ครั้ง พื้นที่ป่าเสียหายจำนวน 226 ไร่

สำหรับสภาพอากาศในพื้นที่ คุณศันสนีย์ ไชยเชียงพิณ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ เปิดเผยว่า ปลายสัปดาห์ที่ 3-4 ก.พ ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนและมีฟ้าหลัว (หมอกแดด) ในเวลากลางวัน อุณหภูมิจะร้อนกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่ปริมาณฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และยังไม่มีแนวโน้มของการเกิดฝน จึงขอเตือนให้ประชาชนระวังในเรื่องสุขภาพ รวมทั้งยกเลิกการเผาในที่โล่งแจ้งเพื่อป้องกันปัญหาการเกิดหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ขอเน้นย้ำให้นายอำเภอทุกอำเภอสั่งการไปยังตำบล หมู่บ้าน ให้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ จัดชุดเคลื่อนที่ลาดตระเวน เฝ้าระวังโดยเฉพาะในพื้นที่จุดเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าหรือจุดที่เกิดเหตุซ้ำซาก นอกจากนี้ขอให้ประสานหน่วยดับไฟของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งแบ่งโซนรับผิดชอบออกเป็น 3 โซน คือ โซนเหนือที่ อ.เชียงดาว โซนกลาง ที่ อ.เมืองเชียงใหม่ และโซนใต้ ที่ อ.อมก๋อย รวมทั้งชุดดับไฟจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ ๓๓ หมายเลขโทรศัพท์ 053-249-345 ขอย้ำให้ทุกฝ่ายอย่านิ่งนอนใจ เนื่องจากจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM10)สูงเกินค่ามาตรฐานแล้ว



ข่าวโดย : อนุชา นาคฤทธิ์

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี "ปล่อยปลาคืนชีวามัจฉามาฆฤกษ์"

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี "ปล่อยปลาคืนชีวามัจฉามาฆฤกษ์" อีกหนึ่งกิจกรรมที่จัดขึ้นเนื่องในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชาจังหวัดเชียงใหม่

วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2557) เวลา 09.30 น. นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี“ปล่อยปลาคืนชีวามัจฉามาฆฤกษ์” ณ พุทธสถานเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานสงฆ์ ในงานนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มอบเกียรติบัตรแก่นักเรียนผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสถานศึกษาทีส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมวันสำคัญทางพุทธศาสนาของจังหวัดเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกล่าวปราศรัยและกล่าวเปิดงานสัปดาห์วันมาฆบูชา หลังจากนั้นขบวนแห่พันธุ์ปลาจากพุทธสถาน ขึ้นสะพานนวรัตน์เลี้ยวซ้ายถึงท่าน้ำเชิงสะพานนวรัตน์ฝั่งตะวันออกหน้าโบสถ์คริตจักรที่ 1 ยืนสงบนิ่ง กล่าวคำแผ่เมตตา และประกอบพิธีปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แม่น้ำปิง

เนื่องด้วยในวันสำคัญทางพุทธศาสนา คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์เผยแพร่ธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พุทธสมาคมจังหวัดเชียงใหม่ ยุวพุทธิกสมาคมจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มหนุ่มสาวจังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน องค์กรทางพระพุทธศาสนา และหน่วยงานสถานศึกษาต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระสงฆ์ จำนวน 1,250 รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ได้มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และมาร่วมฟังโอวาทปาติโมกข์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งอีกวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเนื่องในวันมาฆบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และขอชื่นชมนักเรียนและเยาวชนผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสถานศึกษาที่ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง ประจำปี 2557 นักเรียนเยาวชนที่ประกอบกิจในฐานะผู้ทำความดี ทำประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และที่สำคัญคือ เกิดความสงบสุขแก่ตนเอง คุณประโยชน์เหล่านั้น ควรค่าแก่การยกย่อง เชิดชู มอบประกาศเกียรติคุณให้นั้นเป็นการประกาศความดีให้สังคมทราบ และเป็นตัวอย่างที่ดีต่อไป กิจกรรมที่สำคัญที่เราควรจะดำเนินการต่อไป ได้ถือเอาวันมาฆบูชาเป็นจุดเริ่มต้นในการปล่อยพันธุ์ปลาสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ณ บริเวณฝั่งทิศตะวันออกของสะพานนวรัตน์อันเป็นการปลูกฝังเสริมสร้างจิตใจที่งดงามของชาวพุทธ


ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/อนันต์ ชุ่มใจ

สนข.จัดประชุมระดมความคิดเห็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือ ระยะที่ 2 พิษณุโลก-เชียงใหม่

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นประชาชนโครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ระยะที่ 2 พิษณุโลก – เชียงใหม่ พิจารณา 3 เส้นทาง ระบุกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 16 นาที ค่าโดยสารราคา 1,074 บาท ยันเดินหน้าโครงการต่อแม้ พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ผ่านสภาฯ

วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2557) เวลา 09.00 น. ณ ห้องอิมพีเรียลบอลรูม โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นประชาชนครั้งที่ 1 โครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ระยะที่ 2 พิษณุโลก – เชียงใหม่ เพื่อนำเสนอความสำคัญ ขอบเขตการดำเนินงาน และรูปแบบแนวเส้นทางเลือก พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน สถาบันการศึกษาในพื้นที่ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เข้าร่วมการสัมมนากว่า 200 คน

นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข) กล่าวว่า ปัจจุบัน สนข.ได้ดำเนินการศึกษาและออกแบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – พิษณุโลกแล้วเสร็จ และได้ดำเนินการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ระยะที่ 2 พิษณุโลก – เชียงใหม่ ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ เพื่อความต่อเนื่องในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง
ในการสัมมนา ได้มีการเสนอแนวเส้นทางเลือกของการพัฒนารถไฟความเร็วสูงสายพิษณุโลก – เชียงใหม่ 3 แนวเส้นทาง โดย จ.พิษณุโลก จะผ่าน อ.บางกระทุ่ม อ.เมืองพิษณุโลก และ อ.พรหมพิราม เข้าสู่ทางเลือก ประกอบด้วย 3 เส้นทาง ประกอบด้วย
1. แนวทางเลือกที่ 1 เป็นแนวเส้นทางที่ใช้ที่ใช้ทางรถไฟเดิมเป็นหลัก โดยปรับรัศมีโค้งบางส่วน เพื่อให้รถไฟสามารถทำความเร็วที่ต้องการได้ ระยะทางประมาณ 299 กม.มี 5 สถานี ได้แก่ อุตรดิตถ์ เด่นชัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่
2. แนวทางเลือกที่2 เป็นแนวเส้นทางที่ปรับเข้าใกล้ตัวเมือง จ.แพร่ โดยแยกออกที่ อ.ห้วยไร่ จ.แพร่ และวกกลับเข้าเส้นทางรถไฟเดิมที่ ต.แม่ทะ จ.ลำปาง ระยะทางประมาณ 315 กม. มี 5 สถานี ได้แก่ อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่
3. แนวทางเลือกที่3 เป็นแนวเส้นทางใหม่ที่แยกจาก จ.พิษณุโลก มุ่งไป จ.สุโขทัย ไปทางสวรรคโลก ศรีสัชนาลัย ผ่านเข้าเมืองลำปาง ระยะทางประมาณ 293 กม. มี 5 สถานี ได้แก่ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่

โดยช่วงลำปาง-เชียงใหม่ ทุกทางเลือกจะวิ่งไปตามแนวรถไฟเดิมจนถึงบริเวณ ดอยขุนตาล จนถึงลำพูนจะตัวแนวเส้นทางใหม่ เพื่อให้รถไฟสามารถทำความเร็วได้ จากนั้นวิ่งไปตามแนวรถไฟเดิมจนถึงเชียงใหม่ สำหรับหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกแนวเส้นทางที่มีความเหมาะสมมากที่สุด จะเปรียบเทียบและให้คะแนนครอบคลุมปัจจัยหลัก 3 ด้าน ได้แก่ด้านวิศวกรรม เช่น ระยะเวลาในการเดินทาง ความสามารถในการเข้าถึงระบบรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เช่น ค่าก่อสร้างและเวนคืน ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น และด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น คุณภาพอากาศทรัพยากรป่าไม้ แหล่งโบราณคดีและประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายพิษณุโลก-เชียงใหม่ มีพื้นที่ที่ต้องตัดแนวเส้นทางใหม่และผ่านภูเขาสูง และในส่วนตำแหน่งที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูง มีการพิจารณารายละเอียดและกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความเหมาะสมมากที่สุด เช่น มีที่ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางเมืองในระยะ 1-5 กม. มีโครงข่ายเชื่อมโยงกับถนนสายหลักรองรับ ประชาชนสัญจรเข้าสู่สถานีได้อย่างสะดวก และเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสในการพัฒนาสู่ความเป็นเมืองสูง เป็นต้น รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ทุกด้านอย่างรอบคอบ

ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการศึกษานี้ใช้ระยะเวลา 14 เดือน ขณะนี้ดำเนินการมาแล้ว 3 เดือน เหลือระยะเวลาศึกษาอีกประมาณ 1 ปี แต่คาดว่าน่าจะทราบแนวเส้นทางก่อนหน้านั้น โดยต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนที่อยู่ในเส้นทางทั้ง 3 เส้นทาง เมื่อพิจารณาเลือกเส้นทางแล้วก็จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นอีกครั้งว่าทำไมถึงเลือกเส้นทางนั้น สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ หากร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ผ่านการพิจารณาก็จะใช้วิธีการกู้เงินมาดำเนินการเป็นรายโครงการ ซึ่งจะใช้ระยะเวลามากขึ้น

จากการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา พบว่าประชาชนให้การตอบรับโครงการดี เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจว่าการมีรถไฟความเร็วสูงไม่ใช่เพียงแค่มีรถไฟวิ่งเข้ามาที่สถานี แต่เป็นการอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนจากพื้นที่ต่างๆ เดินทางมายังแต่ละจังหวัดได้ง่ายขึ้นที่ราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เช่น การเดินทางจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่จะใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง 16 นาที ราคาค่าโดยสาร 1,074 บาท คาดว่าจะสามารถแข่งขันกับการเดินทางโดยเครื่องบินได้ โครงการนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่จังหวัดที่มีเส้นทางรถไฟพาดผ่านให้เกิดการขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ เป็นหัวเมืองหลักที่กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานจากจังหวัดใกล้เคียง สำหรับการคัดเลือกบริษัทที่มาดำเนินการ ขณะนี้มีประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และฝรั่งเศส ที่ให้ความสนใจ ซึ่งรัฐบาลจะเปิดกว้างให้กับทุกประเทศในการแข่งขัน โดยจะมีการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยี และให้แต่ละบริษัทแข่งขันในด้านราคา ซึ่งไม่ได้ดูเฉพาะการเสนอราคาตอนต้น แต่ดูราคาตลอดอายุการใช้งาน และเห็นว่าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ยังคิดว่าโครงการนี้ก็จะดำเนินการต่อเพราะมีการจัดทำเป็นแผนแม่บทมากว่าสามรัฐบาลแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นโครงการนี้เป็นประโยชน์ของประเทศในระยะยาว เพียงแต่การดำเนินการต้องมีการคำนึงถึงสถานะทางการเงินของประเทศด้วยว่าเหมาะสมเพียงใด



ข่าวโดย : อนุชา นาคฤทธิ์

จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเปิดจุดผ่านแดนบ้านหลักแต่ง อำเภอเวียงแหง เป็นจุดผ่อนปรนทางการค้า

จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเปิดจุดผ่านแดนบ้านหลักแต่ง อำเภอเวียงแหง เป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าเสนอกระทรวงมหาดไทย ให้ความเห็นชอบ ก่อนเจรจากับฝ่ายเมียนมาร์

นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดประชุมคณะกรรมการการค้าชายแดนไทย-เมียนมาร์ (ด่านกิ่วผาวอก) ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานราชการต่าง ๆ ทั้งด้านความมั่นคงที่ดูแลพื้นที่ชายแดน เอกชน นักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้รับรู้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการของจังหวัด ได้มีการนำเสนอสถานการณ์ด้านต่าง ๆ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ที่มีการเตรียมความพร้อม รองรับการเปิดอาเซียน และในปี 2558 สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์จะเป็นประธานกลุ่มอาเซียนตามวาระด้วย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ประเด็นในการพิจารณา เพื่อยกระดับความสำคัญด่านการค้าบ้านหลักแต่ง อำเภอเวียงแหง ซึ่งมีความพร้อมด้านการคมนาคม ซึ่งการเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่ถึงบ้านหลักแต่ง ระยะทาง 156 กิโลเมตร มีเส้นทางผ่านภูเขา แต่ไม่สูงชันมากนัก ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร และหากมีการพัฒนาเส้นทางถนนตามสายแม่น้ำแม่แตง ซึ่งเป็นที่ราบและเป็นเส้นทางเดินทัพสมัยโบราณ จะมีระยะทางจากจังหวัดเชียงใหม่ถึงบ้านหลักแต่งประมาณ 126 กิโลเมตร จากสภาพความพร้อมของทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ที่ประชุมจึงมีมติเห็นควรเสนอส่วนกลาง ขอเปิดด่านการค้าชายแดนบ้านหลักแต่งเป็นจุดผ่อนปรน โดยให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการพิจารณา โดยความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทย ในส่วนของด่านการค้าชายแดนกิ่วผาวอก อำเภอเชียงดาว ที่ประชุมเห็นชอบให้สนับสนุนเป็นจุดผ่านแดนถาวรเช่นเดิม โดยเน้นให้เป็นด่านด้านการท่องเที่ยว

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขั้นตอนต่อไปจังหวัดจะต้องทำหนังสือเสนอกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว จะได้นำไปหารือกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เพื่อกำหนดวัน เวลาที่เหมาะสม ประกอบกับรัฐฉาน ซึ่งดูแลชายแดนด้านที่มีพื้นที่ติดกับจังหวัดเชียงใหม่ทั้งหมด รวมทั้งจังหวัดเชียงตุงด้วย ซึ่งเชียงตุงกับเชียงใหม่ มีข้อตกลงเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ได้นำผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์มาแล้วเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา และในโอกาสต่อไปจังหวัดเชียงใหม่ จะได้จัดนำคณะผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์กับจังหวัดเชียงตุงและจังหวัดอื่น ๆ ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์อย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดเชียงใหม่จะดำเนินการผลักดันให้มีการเปิดด่านการค้าชายแดน เพื่อเพิ่มช่องทางให้กับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง สร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด โดยจะจัดให้มีการเดินทางไปเยี่ยมเยือนในทุกโอกาสที่มีความพร้อม


ข่าวโดย : ราตรี จักร์แก้ว

จังหวัดน่าน สร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ลาว-จีน-เวียดนาม ตกลงการค้าลงทุนในกลุ่ม อนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ

จังหวัดน่าน เตรียมพร้อมการสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) จัดงาน มหกรรมเครื่องเงินน่านและผ้าทอเมืองน่าน ครั้งที่ 1 ภายใต้ชื่อ "ดอกชมพูภูคาบาน ผ้าเงินน่านสู่อาเซี่ยน” เพื่อพัฒน่ายกระดับเครื่องเงินน่าน ผ้าทอเมืองน่าน สู่สากล งานจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 12 – 16 กุมภาพันธ์ 2557 ณ ลานข่วงเมือง จังหวัดน่าน

นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เปิดการประชุมความร่วมมือระหว่างอนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 2 โรงแรมเทวราช จังหวัดน่าน โดยมีคณะภาครัฐและเอกชนจากแขวงหลสงพระบาง แขวงอุดมไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และจากจังหวัดเดียนเบียน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนาม เข้าร่วมประชุม จังหวัดน่าน เป็นจังหวัดชายแดนที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านทางจุดผ่านแดนถาวรห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ เข้าสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณะรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ซึ่งเป็นเครือข่ายอนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน เพื่อขยายความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ทั้งในจังหวัด และแขวงมิตรประเทศตามแนวชายแดนที่เชื่อมโยงกัน ได้แก่ แขวงไชยะบุรี แขวงหลวงพระบาง และแขวงอุดมไชย สปป.ลาว จังหวัดเดียนเบียน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน

การจัดประชุมในครั้งนี้ จังหวัดน่าน ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เทศบาลเมืองน่าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน อุตสาหกรรมจังหวัดน่าน ได้จัดประชุมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน ในอนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย – ลาว – เวียดนาม จีน เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 ณ โรงแรมเทวราช อำเภอเมือง จังหวัดน่าน เพื่อขยายการค้า การลงทุนระหว่างกันของทั้ง 4 ประเทศ ซึ่งนับได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่ภาครัฐและเอกชนในอนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อตกลงทางการค้าในอนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ เป็นการรวมกลุ่มในอนุภูมิภาคภูมิศาสตร์เดียวกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเป็นการพัฒนาเสริมสร้างขีดความสามารถทางเศรษฐกิจระหว่างกันด้วย ซึ่งถือว่าการประชุมความร่วมมือระหว่างอนุภูมิภาคสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย-ลาว-จีน –เวียดนาม เป็นการเตรียมการสู่ประชาคมอาเซียนอีกด้วย



รดา บุญยะกาญจน์ /ข่าว

ผวจ.น่าน เตรียมป้องกันอุบัติเหตุจากผู้ประกอบการซื้อน้ำยางดิบทำหกเรี่ยราดถนน ทางหลวงสาย101 น่าน-แพร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดน่านเตรียมป้องกันอุบัติเหตุ จากผู้ประกอบการมักง่าย ขาดความรับผิดชอบทำ น้ำยางดิบที่รับซื้อจากชาวสวนยางจังหวัดน่านหกเรี่ยราดบนถนนทางหลวงสาย 101 น่าน – แพร่ วางมาตรการผู้ประกอบการซื้อน้ำยางดิบ ต้องมีพาชนะใส่น้ำยางดิบมีฝาปิดมิดชิดอย่าให้น้ำยางตกเรี่ยราดบนพื้นถนน เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุผู้ใช้ยานพาหนะสัญจรในช่วงฤดูฝน จะทำให้ถนนลื่นมาก

จังหวัดน่าน เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เกษตรกรหันมาปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก และมีการขยายพื้นที่เพราะปลูกยางพาราตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้แก่เกษตรกร เพิ่มขึ้นเรื่อย ซึ่งในอนาคตผลผลิตยางพาราในประเทศไทยและจังหวัดน่านเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จากที่จังหวัดน่าน มีพื้นที่ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้น ทำให้มีการขนส่งน้ำยางดิบส่งไปขายยังต่างจังหวัด และเกิดน้ำยางดิบหกเรี่ยราดไปตามเส้นทาง สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านผู้ใช้รถใช้ถนน เพราะน้ำยางพาราที่ตกเรี่ยราดเต็มถนน ส่งกลิ่นเหม็น ถนนลื่น วอนหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบด่วน ถนนทางหลวง 101 สายแพร่- น่าน เป็นเส้นทางหลักของชาวจังหวัดน่าน ที่ใช้เส้นทางสายนี้สัญจรไป-มา กับจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย ทุกวันจะมีประชาชนชาวจังหวัดน่าน และต่างจังหวัด ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เดินทางไป-มาด้วยเส้นทางสายนี้อยู่เป็นประจำ ทุกวันนี้บนท้องถนนเต็มไปด้วยน้ำยางพารา ที่บรรดาพ่อค้าและผู้ประกอบการต่างลำเลียงน้ำยางส่งไปยังแหล่งรับซื้อต่างจังหวัด และปล่อยให้น้ำยางตกเรี่ยราดเต็มพื้นถนน สร้างความลำบากให้กับชาวบ้านที่ต้องทนกับกลิ่นน้ำยางพาราที่มีกลิ่นเหม็น และต้องระมัดระวังกับการใช้รถใช้ถนนที่มีน้ำยาหกเรี่ยราด ทำให้มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนว่า ถนนสายแพร่-น่าน เป็นถนนสองสี และหากเกิดฝนตกจะยิ่งสร้างความลำบากให้กับชาวบ้านและผู้ใช้รถใช้ถนนอีกเท่าตัว เพราะน้ำยางพาราที่ตกบนพื้นถนน จะทำให้ถนนลื่นก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

นายพจน์ อินจันทร์ อายุ 51 ปี บ้านเลขที่ 47 หมู่ 1 บ้านสาคร ต.อ่ายนาไลย อ.เวียงสา จ.น่าน มีอาชีพขายไข่มดแดง ผักหวาน ร้านแผงลอยข้างถนน กล่าวว่าทุกวันนี้พ่อค้าแม่ค้า ที่นั่งขายของด้วยความหวั่นวิตกกลัวเกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์ อาจจะเสียหลักพุ่งมาชน ในช่วงเย็นตั้งแต่เวลา 17.00 น. ขบวนรถขนน้ำยางพาราจะเริ่มวิ่งผ่านจากน่านไปต่างจังหวัด จะมีน้ำยางหกเรี่ยราดส่งกลิ่นเหม็นมาก เคยพากันร้องเรียนก็เงียบหายไป ชาวบ้านจึงร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกรมทางหลวง ได้เข้ามาตรวจสอบและมีมาตรการในการขนย้ายน้ำยางพาราเพื่อส่งไปจำหน่ายยังต่างจังหวัด เพื่อไม่ให้เกิดน้ำยางตกบนพื้นถนน สร้างความเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้สัญจรไปมา และความเดือดร้อนของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามเส้นทางถนนสายแพร่-น่าน แหล่งนี้ด้วย

ทางด้าน นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จังหวัดน่านได้มีมาตรการในการการแก้ปัญหาเรื่องยางพาราที่เกิดขึ้นระหว่างเกษตรกรผู้ทำสวนยางกับผู้ประกอบการที่รับซื้อน้ำยางพารา ขณะนี้จังหวัดน่านเตรียมส่งเสริมให้มีการตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาพารา ก่อสร้างที่อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน และจะมีการตั้งโรงงานขนาดเล็กเพิ่มขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ยังได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการได้มีแนวทางในการป้องกันน้ำยางพาราหกเรี่ยราด โดยให้ผู้ประกอบการได้มีการปรับปรุงแก้ไขภาชนะใส่น้ำยางพาราที่ต้องมีฝาปิดมิดชิด ป้องกันไม่ให้น้ำยางหกเรี่ยราดรดถนน และขอความร่วมมือให้ผู้ปลูกยางพาราและผู้รับซื้อน้ำยาง ได้มองเห็นความปลอดภัยของการใช้รถใช้ถนนในการเดินทาง ตลอดจนขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันสอดส่อง ดูแล และมีการประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางการปฏิบัติการขนส่งน้ำยางดิบเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาน้ำยางหกรดถนนให้ผู้ประกอบการได้รับทราบ ตลอดจนหาแนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย อีกทั้งจะยังช่วยกันสร้างเมืองน่านให้เป็นเมืองน่าอยู่ ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมความงามตามธรรมชาติของจังหวัดน่านอีกด้วย



รดา บุญยะกาญจน์ /ข่าว

สสจ.น่าน แนะสวมเสื้อผ้าเพื่อปกป้องร่างกาย สวมถุงยางอนามัยเมื่อเสี่ยงทุกครั้ง หยุดยั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

นายปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า จากข้อมูลกลุ่มเยาวชนที่มีการรณรงค์ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ พบว่าการปฏิบัติตัวของกลุ่มตัวอย่าง นักเรียน นักศึกษา ช่วงอายุ 16 - 25 ปี เคยมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยา โดยไม่สวมถุงยางอนามัย มีทัศนคติว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนหรือแฟนจะปลอดภัยจากโรค และเห็นว่าเมื่อมีความรักแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องแต่งงาน และที่น่ากังวลคือมีเยาวชนมีความคิดเห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัย กับ การไม่ใช้ถุงยางอนามัย ให้ความรู้สึกทางเพศที่แตกต่างกัน เพราะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวต่อว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะมีอาการคล้ายคลึงกัน แต่มีสาเหตุจากเชื้อแต่ละชนิด อาการที่น่าสงสัย คือ ตกขาวผิดปกติ หรือมีสีเหลือง กลิ่นเหม็น เจ็บเสียวท้องน้อย มีผื่น ตุ่ม แผลอวัยวะเพศ ขาหนีบบวมหรือเป็นฝี โรคนี้ไม่สามารถหายเองได้ ต้องใช้รักษาที่แตกต่างกัน และสามารถถ่ายทอดสู่ลูกในท้องได้ เมื่อคลอดออกมาเด็กจะพิการ เช่น ตาบอด เพดานโหว่ เป็นต้น สิ่งที่ต้องคำนึงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็คือ การไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาเดียว ใส่ถุงยางอนามัย อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย เพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยมีโอกาสติดโรคสูง ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่ เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวต่อท้ายว่า การมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเอดส์มากยิ่งขึ้น การซื้อยากินเองนั้นไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะอาจช่วยให้อาการของโรคดังกล่าวหายไประยะหนึ่ง แต่ไม่หายขาด ต่อมาภายหลังจะแสดงอาการออกมารุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งประสิทธิภาพของยา ไม่ขึ้นอยู่กับราคาถูกหรือแพง แต่หากได้รับยาไม่ตรงกับโรคที่เป็นอยู่แล้วจะเกิดอันตรายแก่ร่างกาย และดื้อยาได้ ประโยชน์การป้องกันไม่ให้เกิดโรคแล้ว ยังทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์อีกด้วย การใช้สารหล่อลื่นที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม เช่น เค-วาย เจล จะช่วยให้การร่วมเพศราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่ควรใช้สารประเภทครีม โลชั่นทาผิว วาสลินหรือน้ำมันมะกอก เพราะจะทำให้ถุงยางแตกและรั่วซึมได้ แต่หากมีอาการผิดปกติใด ๆ หลังการร่วมเพศ ให้รีบไปรับบริการตรวจรักษา และขอคำปรึกษา จากสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านของรัฐและเอกชนทุกแห่งทันที



พวงพยอม  คำมุง / ข่าว

กำหนดการขนส่งอุปกรณ์ลักษณะพิเศษผ่านจังหวัดน่าน ไปอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ด่านชายแดนห้วยโก๋น

นายเกรียงศักดิ์ เจดีย์แปง ประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน แจ้งว่า ด้วยบริษัท ศิลามาศ ทรานสปอร์ต จำกัด เป็นบริษัทผู้ขนส่งอุปกรณ์ที่มีลักษณะพิเศษ เพื่อขนส่งอุปกรณ์ไปใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหงสา ที่เมืองหงสา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยจะขนส่งผ่านจังหวัดน่านจากอำเภอเวียงสา สู่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ด่านชายแดนห้วยโก๋น และมีความจำเป็นที่จะต้องจัดระบบจราจรให้ผู้ร่วมใช้เส้นทางสัญจรผ่านไปเป็นระยะจำกัด โดยมีตำรวจทางหลวงเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการขนส่งและจัดระบบการจราจรรวมถึงจะมีรถของตำรวจทางหลวงนำและปิดท้ายขบวนเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางด้วย

ประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน แจ้งต่อว่า บริษัท ศิลามาศ ทรานสปอร์ต จำกัด กำหนดการขนส่งอุปกรณ์ลักษณะพิเศษ ในวันที่ 16 - 18 กุมภาพันธ์ 2557 ตั้งแต่เวลา 22.00 น. – 05.00 น. จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งให้ประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับทราบ และโปรดใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในวันและเวลาดังกล่าว และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ หากมีข้อสงสัยและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 083-555-6567



พวงพยอม  คำมุง / ข่าว

เรือนจำน่าน จัดแข่งขันกีฬาชนเผ่า ประจำปี 2557 ท่ามกลางความสนุกสนานของผู้ต้องขัง

วันนี้ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ที่เรือนจำจังหวัดน่าน นายจำนงค์ อิ่นคำ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดน่าน นำผู้ต้องขังร่วมกิจกรรมการแข่งขันกีฬาชนเผ่า เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับผู้ต้องขัง ประจำปี 2557 โดยมี รศ.ดร.คมสันต์ อำนวยสิทธิ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาน่าน เป็นประธานเปิดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาชนเผ่า ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นบุคคลที่ขาดโอกาสทางสังคม ให้ได้มีโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ รู้รักสามัคคี รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ทั้งยังส่งเสริมการออกกำลังการในช่วงเวลาว่างเพื่อให้ผู้ต้องขังมีสุขภาพที่แข็งแรง ทั้งยังเป็นการส่งเสริม อนุรักษ์ สืบทอดและเผยพร่วัฒนธรรมการละเล่นของแต่ละชนเผ่าในจังหวัดน่าน โดยเรือนจำจังหวัดน่านเป็นเรือนจำที่มีผู้ต้องขังที่เป็นชนเผ่าอยู่ 6 ชนเผ่า ประกอบด้วยเผ่าม้ง เมี่ยน ถิ่น กะเหรี่ยง มูเซอ อาข่า ทั้งชายและหญิงจำนวน 161 คน และคนเมืองหรือคนพื้นที่ราบอีก 732 คน รวมมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 893 คน โดยเรือนจำจังหวัดน่านจึงได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาทั้งสิ้น 8 ชนิดกีฬาประกอบด้วยการแข่งขันชักขะเย่อ หมากหมุ้นหรือเปตอง ขว้างลูกข่าง วิ่งขาหยั่ง ว่งกระสอบ การเตะปี๊บ ปิดตาตีหม้อ และการแข่งขันการกินวิบาก

ซึ่งกีฬาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกีฬาประจำชนเผ่าต่างๆและยังเป็นกีฬาพื้นบ้านด้วย โดยบรรยากาศในกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปด้วยความสนุกสนานของผู้ต้องขัง ทั้งที่เป็นนักกีฬาและกองเชียร์ ซึ่งนับได้ว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นการเชื่อมความสามัคคีระหว่างผู้ต้องขังชนเผ่าต่างๆ และยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดน่านได้เป็นอย่างดี



ศรายุทธ  ประเสริฐนิรมล  ภาพ / ข่าว

จ.น่าน ขอเชิญชวนพุทธศานิกชนร่วมกิจกรรมเนื่องในวันมาฆาบูชาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน แจ้งว่า ด้วย "วันมาฆบูชา” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันติบาต” ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธ และเป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการ คือ (1) วันนั้น ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 (2) มีพระอรหันต์ จำนวน 1,250 องค์ มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย (3) ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้บรรลุอภิญญา 6 และ (4) พระอรหันต์เหล่านั้น ล้วนเป็นเอหิภิกขุ คือ เป็นผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธองค์ เมื่อพระอรหันต์เหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ ละเว้นความชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ที่พระพุทธองค์ได้ให้ไว้แก่ชาวพุทธและชาวโลก ระลึกถึงหลัก "ธรรม” ที่พระองค์สอนไว้ เพื่อได้ศึกษาและปฏิบัติเป็นความดีของชีวิตและสังคมตลอดไป

ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน แจ้งต่อว่า จึงขอเชิญชวนพุทธศานิกชนร่วมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2557 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 06.30 น. ทำบุญตักบาตร ณ ศาลาการเปรียญวัดภูมินทร์ อำเภอเมืองน่าน และ ภาคค่ำกิจกรรมเวียนเทียน เวลา 18.00 น. ณ วัดภูมินทร์ หรือ ที่วัดใกล้บ้านหรือวัดที่คุ้นเคย รักษาศีล 5 ศีล 8 เว้นการเสพของมึนเมา สมาทานศีล ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียน ประกอบคุณงามความดี ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งปวง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาสืบทอดประเพณีอันดีงามต่อไป



พวงพยอม  คำมุง

เรือนจำจังหวัดพะเยา จัดโครงการ "สายสัมพันธ์วันแห่งความรัก"

เรือนจำจังหวัดพะเยา จัดโครงการ "สายสัมพันธ์วันแห่งความรัก" โดยเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดีได้รับการเยี่ยมอย่างใกล้ชิดจากญาติภายในเรือนจำในลักษณะแบบใกล้ชิดตัว

วันนี้ (13 ก.พ.57) นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ“สายสัมพันธ์วันแห่งความรัก” ณ โรงอบรมผู้ต้องขัง ภายในเรือนจำจังหวัดพะเยา ซึ่งเรือนจำจังหวัดพะเยาจัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดีได้รับการเยี่ยมอย่างใกล้ชิดจากญาติภายในเรือนจำในลักษณะแบบใกล้ชิดตัวไม่มีสิ่งกีดขวางในการสนทนา มีโอกาสได้พบปะและรับประทานอาหารร่วมกัน โดยแบ่งเวลาเยี่ยมออกเป็น 2 รอบ คือ ภาคเช้า เวลา 09.00-11.00 น. และภาคบ่าย เวลา 13.00-15.00 น. โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ราชฑัณฑ์ ตลอดจนญาติผู้ต้องขัง เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ถือเป็นการให้โอกาสผู้ต้องขังและญาติผู้ต้องขังได้แสดงออกถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อกัน เป็นการสร้างความอบอุ่นและความเข้าใจอันดีในครอบครัว รวมทั้งทำให้ผู้ต้องขังเกิดความรู้สึกที่ดี มีกำลังใจจะกลับตนเป็นคนดีของสังคมภายหลังพ้นโทษ

ขณะที่นายไพฑูรย์ อำพันธ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดพะเยา กล่าวว่า เรือนจำจังหวัดพะเยา มีนโยบายให้มีการพบญาติใกล้ชิดขึ้นภายในเรือนจำในวันสำคัญต่างๆ อาทิ วันพ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ เทศกาลสงกรานต์ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมสถาบันครอบครัว เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีของสมาชิกในครอบครัวตลอดจนคลายความกังวลใจและทำให้มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยในครั้งนี้มีนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการคัดเลือกให้พบญาติ จำนวนทั้งสิ้น 299 คน แบ่งเป็น ชาย 268 คน และหญิง 31 คน และมีญาติเข้าพบจำนวนทั้งสิ้น 763 คน


ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ

ผวจ.พะเยา เผย หลายหน่วยงานในจังหวัดพะเยาพร้อมรับอาเซียน ปี 58 นี้

วันนี้ (13 ก.พ.57) ที่ ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดพะเยา นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้เป็นประธานประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมจังหวัดพะเยาเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558

นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 คลุมทั้ง 3 เสาหลัก พร้อมทั้งนำแนวคิด บันได 5 ขั้นจากพะเยาสู่ประชาคมอาเซียน มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมบุคลากรในจังหวัดเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของจังหวัดพะเยา ได้แก่ การแต่งตั้งคณะทำงานในการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน, จัดหลักสูตรการฝึกอบรม และให้ความรู้แก่บุคลากรในทุกภาคส่วนของจังหวัดพะเยา, การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ , การจัดนิทรรศการ และการเสวนาทางวิชาการ และการติดตามและประเมินผลฯ ในภาพรวมจังหวัดพะเยาได้มีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนหลายหน่วยงาน ในหลายๆด้านด้วยกัน ทั้งด้านวัฒนธรรม ภาษา ที่ห้องโถงศาลากลางจังหวัดพะเยาก็ได้มีการจัดเป็นศูนย์นิทรรศการเตรียมความพร้อมข้อมูลข่าวสาร หลากหลายรูปแบบไว้ ซึ่งในวันนี้ก็เป็นการประชุมเพื่อติดตามการดำเนินงานการเตรียมความพร้อม รวมถึงการผลักดันการขับเคลื่อนให้มากยิ่งขึ้น


ข่าวโดย : ทีมข่าว ส.ปชส.พะเยา

จังหวัดพะเยา ประชุมดำเนินการขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมของจังหวัดเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

วันนี้ (13 ก.พ.57) ที่ ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดพะเยา นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานการประชุมการดำเนินการขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมของจังหวัดเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 ครอบคลุมทั้ง 3 เสาหลัก พร้อมทั้งนำแนวคิดบันได 5 ขั้นจากพะเยาสู่ประชาคมอาเซียน มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมบุคลากรในจังหวัด เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของจังหวัดพะเยา ได้แก่ การแต่งตั้งคณะทำงานในการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน , จัดหลักสูตรการฝึกอบรม และให้ความรู้แก่บุคลากรในทุกภาคส่วนของจังหวัดพะเยา, การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ , การจัดนิทรรศการ และการเสวนาทางวิชาการ พร้อมทั้งการติดตามและประเมินผลฯ ในภาพรวมจังหวัดพะเยา โดยได้มีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนจากหน่วยงานต่างๆ ในหลากหลายด้านด้วยกัน ทั้งด้านวัฒนธรรม ภาษา ที่ห้องโถงศาลากลางจังหวัดพะเยาก็ได้มีการจัดเป็นศูนย์นิทรรศการเตรียมความพร้อมข้อมูลข่าวสารหลากหลายรูปแบบไว้อีกด้วย



ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ

ศูนย์ภาษาและการเรียนรู้เพื่อชีวิตและสังคม จัดโครงการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านหัตถกรรม ดนตรี และฟ้อนรำในการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาธิปไตย

ศูนย์ภาษาและการเรียนรู้เพื่อชีวิตและสังคม จัดโครงการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านหัตถกรรม ดนตรี และฟ้อนรำในการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาธิปไตย ระหว่างวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2557 ที่อาคารเอนกประสงค์ วัดบ้านในสอย อ.เมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับงบสนับสนุนจากมูลนิธิชุมชนแม่ฮ่องสอน โดยมีนักเรียนโรงเรียนบ้านในสอย จำนวน 60 คน เข้าร่วมอบรม เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการสืบทอดภูมิปัญญาด้านศิลปหัตถกรรม ดนตรี และฟ้อนรำของท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ประชาธิปไตย สิทธิและหน้าที่พลเมืองผ่านศิลปหัตถกรรม ดนตรี และฟ้อนรำ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต จารีตประเพณี และวัฒนธรรมของชุมชน

กิจกรรมในงานประกอบด้วย การอบรม วัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น กิ่งกะหล่า หรือรำนก รำกลองมองเซิง ตีกลองก้นยาว กลองมองเซิง การสานพัดจากไม้ใผ่ หรือสานวี การทำตุงราว ตุงโหย่ง ซึ่งใช้ในประเพณีของชาวไทใหญ่ วิทยากรโดย ปราชญ์ท้องถิ่นผู้มีความเชียวชาญ ด้านวัฒนธรรมและดนตรี ได้แก่ อาจารย์ไพฑูรย์ อินทรักษ์ อาจารย์สมเด็จ อินทรักษ์ อาจารย์เสาวนีย์ สุขิตตาธิกุล



ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.แม่ฮ่องสอน

ผลการแข่งขันฟุตซอล ประเภทเยาวชนและประชาชนทั่วไป ในการแข่งขันกีฬามวลชน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปี 2557 รอบคัดเลือก

(13 กุมภาพันธ์ 2557) สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดการแข่งขันฟุตซอล กีฬามวลชน กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการกีฬาและนันทนาการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปี 2557 ที่ศูนย์ออกกำลังกายเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชน ประชาชน ได้ออกกำลังกาย ด้วยการเล่นกีฬาฟุตซอล อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ห่างไกลจากยาเสพติด
ซึ่งรุ่นอายุ ไม่เกิน 16 ปี ผลปรากฏว่า ทีมในสอย ชนะทีม ปางมะผ้าพิทยาสรรพ์ 5 ประตูต่อ 4 /ทีมเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนเอ ชนะ ทีมศึกษาสงเคราะห์เอ 3ประตูต่อ1 /ทีม อบต.เมืองปอน ชนะ ทีมศึกษาสงเคราะห์บี 1ประตูต่อ0

รุ่นประชาชนทั่วไป ทีมในสอย ชนะทีมอู่ช่างโอ 8ประตูต่อ2/ทีม แม็ค-มายแพ้ทีมใบพูลวีวาย 1ประตูต่อ4/ทีมโข่งข้าวเส้น เสมอ ทีมมิตรอะไหล่ 3ประตูต่อ3 /ทีมห้วยฟาน เสมอทีมปเกอญอ 4 ประตูต่อ4 /ทีมชมฟุตบอลอาวุโส แพ้ ทีมชายกนิ้ว 2ประตูต่อ10/ทีมศึกษาสงเคราะห์แพ้ทีมบ้านยุทธพันธ์ 0ประตูต่อ6/ ทีมบ้านนอกเอฟซี ชนะ ทีมวิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินีแม่ฮ่องสอน 5ประตูต่อ4 และทีมเอ็มหมอกชนะทีมฟุตซอลเพื่อตำรวจ 5ประตูต่อ4 การแข่งขันดังกล่าวจะมีไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557/


ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน จัดงานประเพณีหลู่ข้าวหย่ากู๊ หรือทำบุญข้าวเหนียวแดง ประจำปี 2557

ค่ำวานนี้ (12 ก.พ.) นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดงานประเพณีหลู่ข้าวหย่ากู๊ หรืองานบุญข้าวเหนียวแดง ประจำปี 2557 และร่วมกวนข้าวหย่ากู๊ ที่บริเวณสวนสาธารณะหนองจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีของท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป โดยช่วงเช้าวันนี้ ประชาชนทั้ง 6 ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ร่วมกันกวนข้าวหย่ากู๊ หรือข้าวเหนียวแดง ส่วนผสมประกอบด้วยข้าวเหนียว น้ำอ้อย งาขาวหรืองาดำคั่ว มะพร้าวอ่อน ถั่วลิสง น้ำมันงาหรือน้ำมันพืช และกะทิ และในตอนบ่ายจะมีขบวนแห่ข้าวหย่ากู๊ ไปแจกจ่ายในชุมชนต่างๆเพื่อที่จะนำไปถวายพระ ทำบุญต่อไป

ประเพณีหลู่ข้าวหย่ากู๊ หรือทำบุญข้าวเหนียวแดง มีตำนานว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงประชวร ด้วยโรคปวดพระอุทร หรือปวดท้อง พระอานนท์ ได้ออกบิณฑบาตและ นางสุชาดาตักข้าวหย่ากู๊ใส่บาตรพระอานนท์ พระอานนท์ได้นำไปถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าฉันแล้ว ทรงหายจากอาการประชวรพระอุทร ด้วยอานิสงส์การถวายข้าวหย่ากู๊นี้ นางสุชาดาได้ไปเกิดบนสวรรค์ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงเดือน 3 บรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทใหญ่ต่างนิยมทำบุญถวายข้าวหย่ากู้ หรือข้าวเหนียวแดง


ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว ข่าว / เอกณรินทร์ ใจมะโน ภาพ

จังหวัดลำปาง จัดการแข่งขันสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย ทำนองสรภัญญะ

กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง จัดการแข่งขันสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย ทำนองสรภัญญะ ระดับจังหวัด เพื่อหาตัวแทนนักเรียนเข้าไปทำการแข่งขันในระดับภาค

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง จัดกิจกรรมโครงการ ”การแข่งขันสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย ทำนองสรภัญญะ ระดับจังหวัด ประจำปี 2557” ที่ ศาลาสิริกตบุญประชาสรรค์ วัดพระเจดีย์ซาวหลัง พระอารามหลวง ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง มีนายฤทธิพงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขัน โดยมีเยาวชนเด็กนักเรียน จากโรงเรียนในอำเภอต่างๆ ทั้ง 13 อำเภอ ของจังหวัดลำปาง สนใจร่วมจัดทีมเข้าทำการแข่งขัน การแข่งขันสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย ทำนองสรภัญญะ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทางกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้หันหน้าเข้าวัด มาอยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา และเสริมสร้างจิตใจให้เยาวชนได้ยึดมั่น ในหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อันเป็นการกล่อมเกลา และพัฒนาจิตใจของเด็ก และเยาวชน ให้รู้จักการประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้นำหลักคำสอนนั้น ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อสังคมส่วนรวม เกิดความสงบสุขของชนในชาติ ตลอดจนเพื่อเป็นการรักษาวัฒนธรรมประเพณีในมิติทางพุทธศาสนาไว้ ให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่สังคมไทย เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคง มีอายุยืนยาวสืบไป

สำหรับการแข่งขัน ได้แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา โดยในระดับประถมศึกษา มีโรงเรียนส่งทีมเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 19 ทีม และในระดับมัธยมศึกษา มีโรงเรียนส่งทีมเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 18 ทีม รวมทีมเข้าร่วมทำการแข่งขันทั้งสิ้น 37 ทีม โดยการแข่งขัน ได้กำหนดให้แต่ละทีมมีผู้ร่วมทีมได้ 5 คน และให้ใช้บทสวดมนต์ 5 บท สำหรับทำการแข่งขัน ได้แก่ บทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า บทสวดพระพุทธคุณ บทสวดพระธรรมคุณ บทสวดพระสังฆคุณ และบทสวดชยสิทธิคาถา ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ ทีมที่ชนะเลิศ และทีมรองชนะเลิศ ทั้งในระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา จะได้เป็นตัวแทนของจังหวัดลำปาง เข้าไปร่วมทำการแข่งขันในระดับภาคต่อไป
ดูคลิป http://youtu.be/dRWMhxyX3_8


ข่าวโดย : นายชาญณรงค์ ปันเต

14 กุมภาพันธ์ ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมปฏิบัติธรรมในวันมาฆบูชา

จังหวัดลำปาง จัดกิจกรรมงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 2557 ระหว่างวันที่ 10 – 14 กุมภาพันธ์ 2556 ที่วัดเจดีย์ซาวหลัง พระอารามหลวง จังหวัดลำปาง

จังหวัดลำปาง โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง กำหนดจัดกิจกรรมงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 2557 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนนำหลักธรรมทางศาสนา มาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน รณรงค์ให้เด็ก เยาวชนและประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา ร่วมกันลด ละ เลิกอบายมุข และหันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม ทำบุญตักบาตร เวียนเทียน และในปีนี้ตรงกับวันศุกร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ที่ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา โดยพระพุทธเจ้าทรงปรารภเหตุสำคัญ 4 ประการ ที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาตร” ซึ่งแปลว่า การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ 4 คือ วันนั้นเป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันนั้นพระอรหันต์ จำนวน 1,250 รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย วันนั้นพระอรหันต์ที่มาประชุมล้วนเป็นผู้หมดกิเลสบรรลุอภิญญา 6 แล้วทั้งสิ้นและพระอรหันต์ทั้งหมดนั้นเป็นเอหิภิกขุคือเป็นผู้ได้รับการอุปสมบทจากพรพุทธเจ้าโดยตรง
งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา จังหวัดลำปาง จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10 – 14 กุมภาพันธ์ 2556 ที่วัดเจดีย์ซาวหลัง พระอารามหลวง จังหวัดลำปาง มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับหลักธรรมตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นิทรรศการเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การแข่งขันสวดมนต์หมู่ ระดับประถมและมัธยมศึกษา และในวันมาฆบูชา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 6.30 น. จะมีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 57 รูป พิธีเจริญพระพุทธมนตร์ ฟังการแสดงธรรมเทศนา และในช่วงเย็น ตั้งแต่เวลา 17.30 น. การเจริญภาวนาปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ฟังบรรยายธรรมะ และร่วมเวียนเทียน จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าว พร้อมแต่งกายด้วยชุดสีขาวปฏิบัติธรรมโดยพร้อมกัน



ข่าวโดย : กมลรัตน์ เพ็ชรแสนงาม

เหล่ากาชาด จ.ลำปาง มอบรางวัลแก่ผู้ถูกสลากกาชาด พร้อมรับเครื่องเขย่าถุงบรรจุโลหิต และเครื่องผนึกสายถุงโลหิต มูลค่ากว่า 2 แสนบาท บริจาคให้กับโรงพยาบาลลำปาง

นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นางอินทิรา สุภาแสน นายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง คณะผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดลำปาง และสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัด ร่วมกันทำพิธีส่งมอบรางวัล รถยนต์เก๋ง และรถจักรยานยนต์ ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัล หมายเลขสลากกาชาดการกุศล ที่ บริเวณหน้าอาคารสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง ตำบลหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่จากสังกัดหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งคณะสื่อมวลชนในพื้นที่ และประชาชนชาวลำปางในละแวกใกล้เคียง ร่วมพิธีเป็นสักขีพยานในการส่งมอบ

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง ได้จัดจำหน่ายสลากกาชาดการกุศล ในงานเทศกาลรื่นเริงฤดูหนาวและของดีนครลำปาง ประจำปี 2557 และได้ทำการหมุนหมายเลขออกรางวัล สลากกาชาดการกุศล เมื่อคืนวันที่ 4 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีผู้ถูกหมายเลขรางวัล มากกว่า 170 รางวัล และได้มีการติดต่อขอรับมอบรางวัลไปแล้วบางส่วน ยังคงเหลือแต่รางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัลที่ 1 รถยนต์เก๋ง โตโยต้า วีออส รุ่น 1.5J เกียร์ออโต้ จำนวน 1 รางวัล และรางวัลที่ 2 รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ 110 จำนวน 3 รางวัล ดังนั้น เหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง จึงได้จัดทำพิธีส่งมอบรางวัลอย่างเป็นทางการขึ้น ซึ่งได้มีผู้โชคดีที่ถูกรางวัล เข้ารับมอบรางวัลในครั้งนี้ครบทุกรางวัล โดยผู้ที่ถูกรางวัลที่ 2 ได้แก่ นายธวัช สุมาลา, นางปริศนา กาญจนสุขสกุล และนายจิรศักดิ์ ภาวนา ได้รับรางวัลรถจักรยานยนต์ คนละ 1 คัน และ ผู้ที่โชคดีถูกรางวัลที่ 1 ได้แก่ นางสุภาศรี ปัญญาวาร ครูประจำโรงเรียน กอรวกพิทยาสรรค์ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ได้รับรถยนต์เก๋ง โตโยต้า วีออส รุ่น 1.5J เกียร์ออโต้ มูลค่า 589,000 บาท

โอกาสเดียวกันนี้ คุณอัมพร นภาวรรณ ผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนใน จ.ลำปาง ได้บริจาคมอบเครื่องเขย่าถุงบรรจุโลหิตพร้อมระบบชั่งน้ำหนัก จำนวน 1 เครื่อง และคุณวรฉัตร อย่างตระกูล มอบเครื่องผนึกสายถุงโลหิต อีกจำนวน 1 เครื่อง รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ให้แก่เหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง เพื่อสำหรับใช้ประโยชน์ในการออกหน่วยรับบริจาคโลหิตจากประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ในการนี้ นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ผู้มีจิตอันเป็นกุศลทั้ง 2 ราย เพื่อเป็นการขอบคุณ เชิดชูเกียรติในคุณงามความดี และพร้อมกันนี้ นางอินทิรา สุภาแสน นายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง ได้ส่งมอบเครื่องมือครุภัณฑ์ทางการแพทย์ทั้ง 2 เครื่อง ให้แก่ตัวแทนโรงพยาบาลลำปาง เพื่อให้ทางโรงพยาบาลได้ไว้ใช้ประโยชน์ ในงานรับบริจาคโลหิตต่อไป.
ดูคลิป http://youtu.be/cAmSj93HzXE


ข่าวโดย : นายชาญณรงค์ ปันเต

เชิญเที่ยวงานเทศกาลแห่งความรัก แต่งงานบนหลังม้า 13 - 16 กุมภาพันธ์นี้

จังหวัดลำปาง ร่วมกับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลำปาง, สมาคมรถม้าลำปาง, เทศบาลนครลำปาง, สมาคมท่องเที่ยวนครลำปาง, การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลำปาง, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดลำปาง (ททท.) และ สำนักงานเชียงใหม่ จัดงาน “เทศกาลวันแห่งความรัก แต่งงานบนรถม้า” ครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 13 – 16 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ ณ ลานรถม้า ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลำปาง โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 จะมีกิจกรรมการแต่งงานบนรถม้า เริ่มตั้งแต่ เวลา 7.30 น. จะมีการใส่บาตรพระสงฆ์ บริเวณหน้าสถานีรถไฟนครลำปาง และในเวลา 16.30 น. ที่ บริเวณหน้าสถานีรถไฟนครลำปาง จะมีขบวนรถม้าของคู่ฉลองแต่งงานจำนวน 40 คู่ 40 คัน และขบวนรถม้าแขกผู้เกียรติ รวมกว่า 57 คัน เคลื่อนขวบไปสู่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จังหวัดลำปาง

โดยในงานเทศกาลดังกล่าว มีนิทรรศการด้านการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.แม่เมาะ), ชมรมถ่ายภาพแม่เมาะ, สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ และอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของ จ.ลำปาง ที่ได้รับรางวัล Thailand Tourism Awards 2013 พร้อมกับชมนิทรรศการ การออกร้าน Wedding Fair ที่ได้จัดเตรียมกิจกรรมไว้ สำหรับคู่รักทุกคู่อย่างครบครัน นอกจากนี้ได้จัดกิจกรรมบนเวทีใหญ่ ชมการแสดงศิลปะพื้นบ้าน จากนักเรียน นักศึกษา ของสถาบันการศึกษาต่างๆ การแสดงจากโรงละครชุมชนของเมืองลำปาง “โรงละครเล็ก ณ หนา” และบริการนั่งรถม้าชมเมืองลำปางในราคารอบละ 100 บาท
ขอเชิญชวนร่วมชม คู่ฉลองแต่งงาน กว่า 40 คู่ ที่จะมาร่วมนั่งในขบวนแห่รถม้าที่จะวิ่งไปตามเส้นทางผ่านตัวเมืองลำปาง ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ร่วมสัมผัสกับบรรยากาศ “วันวาเลนไทน์” วันแห่งความรักพร้อมด้วยกัน



ข่าวโดย : กมลรัตน์ เพ็ชรแสนงาม

สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดลำพูน จัดโครงการเพิ่มศักยภาพ ระบบมาตรฐาน ป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการ

ผู้แทนจากสถานประกอบการในจังหวัดลำพูน ร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพ การจัดทำระบบมาตรฐาน การป้องกัน และ แก้ไข ปัญหายาเสพติด เพื่อ ให้สถานประกอบการ ในจังหวัดลำพูน เป็นสถานประกอบการสีขาวอย่างยั่งยืน

ที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดลำพูน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลำพูนจัด โครงการ เพิ่มศักยภาพ ระบบมาตรฐาน ป้องกัน แก้ไขปัญหายาเสพติด ในสถานประกอบการ โดยมีนาย นาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธาน เปิดโครงการ มีผู้แทนจากสถานประกอบการในจังหวัดลำพูน เข้าร่วม จำนวน 65 คน

นายประเสริฐ ปาลี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดลำพูนกล่าวว่า สำนักงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดลำพูน ได้ดำเนิน กิจกรรมในโครงการโรงงานสีขาว มาตั้งแต่ ปี 2544 จนถึงปี 2555 จนทำให้สถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ และ สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานโรงงานสีขาว ได้มากกว่า ร้อยละ 90 การอบรมในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสให้สถานประกอบการแต่ละแห่งได้มาแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ข้อมูล ปัญหา อุปสรรค เกี่ยวกับ การป้องกัน แก้ปัญหายาสเพติดในสถานประกอบการโดยมีวิทยากร จาก ตำรวจภูธร จังหวัดลำพูน , สำนักงาน ปปส. ภาค 5 , สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดลำพูน รวมถึง วิทยากรจากบริษัท ซีแพค จำกัด ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานพัฒนาระบบมาตรฐานป้องกัน และ แก้ไขปัญหายาเสพติด ในสถานประกอบการ (มยส.) ปี 2556 มาร่วมให้ความรู้ในครั้งนี้ด้วย

ทางด้านนายนาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนด กำหนดให้ นโยบายป้องกัน ปราบปรามปัยหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ จังหวัดลำพูนก็ได้ ให้ความสำคัญ ทั้งในระดับชุมชน ไปจนถึงระดับสถานประกอบการ จึงขอให้ สถานประกอบการ แต่ละแห่งร่วมกัน พัฒนามาตรฐาน การจัดทำระบบมาตรฐาน การป้องกัน และ แก้ไข ปัญหายาเสพติด เพื่อ ให้ จังหวัดลำพูน เป็นจังหวัดนำร่องที่มีสถานประกอบการสีขาว เป็นตัวอย่างให้ จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป .


ข่าวโดย : เชาวรินทร์ สอนปาละ

จังหวัดลำพูน จัดเวทีเสวนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้และทักษะอาชีพแก่เยาวชน

เช้าวันนี้ (13 ก.พ. 2557) ที่ ศาลากลางจังหวัดลำพูน สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน ได้จัดเวทีเสวนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ และทักษะอาชีพแก่เยาวชนจังหวัดลำพูน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และคุณภาพของเยาวชนจังหวัดลำพูน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาการเรียนรู้และทักษะอาชีพแก่เยาวชน มุ่งให้เยาวชนผู้ว่างงานหรือไม่ได้ศึกษาต่อ ได้รับทราบแนวทางส่งเสริมการฝึกอาชีพระยะสั้น ซึ่งสามารถนำไปยึดประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง ในการเสวนาฯครั้งนี้มีเยาวชนและผู้ปกครอง พร้อมทั้งอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน เข้าร่วมสัมมนา จำนวน 90 คน โดยนายอาณัติ วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนเป็นประธานเปิดการเสวนาฯ

วิทยากรประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประสบความสำเร็จในด้านการงานและอาชีพโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางรัตนา ปาละพงศ์ ทายาทเจ้าของบริษัท ผึ้งน้อยเบเกอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปังภายใต้ตรา ผึ้งน้อย ซึ่งส่งจำหน่ายในจังหวัดลำต่าง ๆ หลายแห่ง ซึ่งเริ่มธุรกิจจากเงินทุนเพียง 600 บาท จนกระทั่งปัจจุบันมีธุรกิจมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ,นายอำนวย กลัมพัด ปราชญ์ชาวบ้าน คนดีศรีลำพูน ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ,นายวุฒิไกร ชัยมัง เยาวชนที่เริ่มงานจากการเป็นลูกจ้าง ได้ขวนขวายศึกษาความรู้เพิ่มเติมและนำไปประกอบอาชีพด้านซ่อมเครื่องปรับอากาศและไฟฟ้ามีรายได้ที่มั่นคง และนางอรทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดลำพูน ได้บรรยายให้ความรู้ข้อคิดและแนวทางประกอบอาชีพแก่ผู้ร่วมในเวทีเสวนาด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนผู้ร่วมเสวนาเป็นจำนวนมาก 

จังหวัดลำพูน เชิญประชาชนและผู้ที่สนใจเที่ยวงาน "OTOP MOBILE TO THE FACTORY AND FESTIVAL 2014" "ลานคนยอง ของกิ๋นเมือง"

จังหวัดลำพูน โดยสำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดลำพูน ร่วมกับเทศบาลตำบลเวียงยอง และเครือข่าย OTOP จ.ลำพูน จัดงานแสดงและจำหน่าย สินค้า ผลิตภัณฑ์ชุมชน ระหว่างวันที่ 14 –16 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ ศูนย์เฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน โดยผู้บริโภคสามารถชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ OTOP ชื่อดัง 8 อำเภอ

นางสุพัตรา แสงทอง พัฒนาการจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดลำพูน ร่วมกับเทศบาลตำบลเวียงยอง และเครือข่าย OTOP จ.ลำพูน ได้กำหนดจัดโครงการ Otop Mobile To The Factory and Festival 2014 เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ประชาชนในการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการผลิตและจำหน่ายสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ระหว่างวันที่ 14 –16 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ ศูนย์เฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน โดยมีนายนาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดงานในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 10.30 น. โครงการดังกล่าว เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มผู้ผลิต สินค้า OTOP ที่อยู่ในระดับ 1-5 ดาว ได้มีโอกาสเรียนรู้การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเพิ่มช่องทางตลาดโดยการเข้าร่วมแสดงแล จำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่ม ผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม

พัฒนาการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า การจัดงานแสดงและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ ถือเป็นการบูรณาการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง สำนักงาน พัฒนาชุมชน จ.ลำพูน กับ เครือข่าย OTOP จังหวัดลำพูนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่กลุ่มผู้ประกอบการ เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ในการ บริหารงาน , การวางแผนจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ ให้แก่ ผู้บริโภคในพื้นที่ที่แตกต่างออกไป ภายในงานจะมีการตั้งบูธ จำหน่ายสินค้า ที่มีชื่อเสียงของแต่ละท้องถิ่นในจังหวัดลำพูน อาทิ ผ้าไหมยกดอก ,ผลิตภัณฑ์ น้ำสมุนไพร , งานไม้แกะสลัก และ ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม จากสมุนไพรเป็นต้น
จึงขอเชิญชวนประชาชนหรือผู้ที่สนใจ เที่ยวงาน“OTOP MOBILE TO THE FACTORY AND FESTIVAL 2014” "ลานคนยอง ของกิ๋นเมือง" เชิญ ชิม ช้อป ชม ผลิตภัณฑ์ OTOP ชื่อดัง 8 อำเภอ ในวันที่ 14 –16 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ ศูนย์เฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน โดยทั่วกัน 

คณะกรรมการ สสค. ติดตามผลการดำเนินงานโครงการยกระดับการพัฒนาการเรียนรู้จังหวัดลำพูน

บ่ายวันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2557) ที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน คณะกรรมการติดตามผลการดำเนินงานความร่วมมือของจังหวัดดีเด่นของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ได้ติดตามผลการดำเนินงานโครงการยกระดับการพัฒนาการเรียนรู้จังหวัดลำพูน ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยนายกำธร เนตรผาบ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ได้นำคณะกรรมการโครงการยกระดับการพัฒนาการเรียนรู้จังหวัดลำพูน ชี้แจงความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้ทราบ

โครงการยกระดับการพัฒนาการเรียนรู้จังหวัดลำพูน ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนโดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเด็กที่ออกจากโรงเรียนกลางคัน เด็กที่ขาดโอกาส และผู้ที่เรียนจบแล้วแต่ยังไม่มีงานทำ เพื่อส่งเสริมพัฒนาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จัดกิจกรรม 4 ด้าน คือ การพัฒนาฐานข้อมูลเด็กและเยาวชน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน, การพัฒนาการเรียนรู้ทักษะอาชีพ สืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านให้กับเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน, ค่ายพัฒนาศักยภาพทักษะชีวิตคุณธรรมจริยธรรม สำหรับแกนนำเยาวชน เพื่อนช่วยเพื่อน, การบริหารจัดการโครงการฯ สำหรับการพัฒนาฐานข้อมูลเด็กและเยาวชน อยู่ระหว่างการดำเนินงานในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล โดยมีข้อมูลที่สมบูรณ์อยู่ในระบบจำนวนหนึ่งแล้ว กิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้ทักษะอาชีพได้จัดฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้นจำนวน 4 หลักสูตรแก่เด็กและเยาวชน ในอำเภอต่าง ๆ อำเภอละ 80 คน รวม 640 คน ซึ่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมค่ายแกนนำพัฒนาทักษะชีวิตคุณธรรมจริยธรรม สำหรับแกนนำเยาวชน เพื่อนช่วยเพื่อน ได้จัดฝึกอบรมเด็กและเยาวชนจำนวน 100 คน โดยจัดค่าย 2 ครั้ง ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ได้ส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่าง ๆ อีก 9 แห่ง

โอกาสนี้ คณะติดตามประเมินผลได้ไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ที่ โรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์จังหวัดลำพูน ด้วย 

จังหวัดลำพูน พิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น เพื่อยกย่องเป็นขวัญกำลังในแก่ผู้ที่เสียสละอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

บ่ายวันนี้ (13 ก.พ. 2557) ที่ ศาลากลางจังหวัดลำพูน นายนาวิน สินธุสะอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2556 ของจังหวัดลำพูน เพื่อคัดเลือกข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหะ เสียสละ อุทิศตน บังเกิดผลดีแก่ทางราชการและสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชน

คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาข้าราชการที่สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติดังนี้ กลุ่มที่ 1 ประเภทอำนวยการระดับสูง/วิชาการระดับเชี่ยวชาญ ไม่มีผู้เสนอเข้ารับการพิจารณา กลุ่มที่ 2 ประเภทอำนวยการระดับต้น/วิชาการระดับการชำนาญการพิเศษ/ทั่วไป ระดับอาวุโส ผู้ได้รับการพิจารณาคือ นายมานะ เดชเจริญ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนธีรกานท์บ้านโฮ่ง กลุ่มที่ 3 ประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ/ทั่วไป ระดับปฏิบัติการระดับชำนาญงาน ผู้ได้รับการพิจารณาคือ นายอเนก ใจหาญ ตำแหน่งนายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน สำนักงานจังหวัดลำพูน

สำหรับประวัติและผลงานของนายมานะ เดชเจริญ โดยสังเขปมีดังนี้ นายมานะ อายุ 58 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เริ่มรับราชการเมื่อปี 2520 ได้ตั้งใจอุทิศตนปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหพยายาม จนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติหลายด้านเช่น ได้รับรางวัลรองผู้อำนวยการสถานศึกษายอดเยี่ยม รางวัลครูผู้ฝึกสอนนักเรียน รางวัล 1 ครูแสนดี รางวัลพระราชทานการประกวดบุคคลดีเด่น โครงการ to be numberone ได้รับประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นด้านการป้องกันยาเสพติด ด้านการครองตนได้ปฏิบัติตน โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขใดๆ ทั้งยังส่งเสริมให้บุตรได้รับการศึกษาชั้นสูงและได้ทำงานมีอาชีพที่มั่นคง ประวัติและผลงานของนายอเนก ใจหาญ อายุ 53 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เริ่มรับราชการเมื่อปี 2537 ได้ตั้งใจปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท มีความรับผิดชอบสูงทำให้ผลงานสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้ช่วยพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของจังหวัดลำพูน ด้านการครองตนได้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข นับเป็นข้าราชการที่มีเกียรติประวัติที่ดี จึงได้รับการคัดเลือกเพื่อเสนอให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นของจังหวัดลำพูน อีกผู้หนึ่ง 

ส.ปชส.ลำพูน เปิดเวทีเสวนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้และทักษะอาชีพแก่เยาวชน มุ่งหวังให้เยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทางเลือกอื่นในการดำเนินชีวิต

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูนเปิดเวทีเสวนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้และทักษะอาชีพแก่เยาวชนจังหวัดลำพูน ที่ห้องประชุมจามเทวี ศาลากลางจังหวัดลำพูน โดย นายดนัย ชนกล้าหาญ ประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน กล่าวว่า สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูนจัดเวทีเสวนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้และทักษะอาชีพแก่เยาวชนจังหวัดลำพูน มีการบรรยายเรื่อง การเรียนรู้ นำไปสู่ความก้าวหน้าของชีวิต การเสวนา หัวข้อ การเรียนรู้เพื่อมีอาชีพที่มั่นคง โดยปราชญ์ชาวบ้าน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดลำพูน ผู้จัดการบริษัท ผึ้งน้อยเบเกอรี่จำกัด และเยาวชนผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพอิสระ เพื่อให้ผู้ปกครองและเยาวชนที่ว่างงาน หรือผู้ที่เรียนจบแล้วแต่ไม่มีงานทำ หรือผู้ที่ออกจากโรงเรียนกลางคันมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ ในการดำเนินชีวิต ส่งเสริมให้เยาวชนฝึกอาชีพระยะสั้น และบูรณาการการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานด้านสื่อ เพื่อให้เยาวชนได้รับการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นและสามารถยึดเป็นอาชีพได้

นายอาณัติ วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ประธานในพิธีเปิด กล่าวว่า การศึกษานับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของประชาชนทุกคน เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพ รวมทั้งสร้างความมั่นคงในชีวิตและครอบครัว ดังนั้น จึงต้องช่วยกันส่งเสริมให้เยาวชนได้รับการศึกษาตามความถนัดของแต่ละบุคคล เพื่อจะมีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า ควรที่ทุกฝ่ายจะให้การสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้แก่เยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนผู้ว่างงาน ไม่ควรท้อถอย ขอเป็นกำลังใจแก่เยาวชนทั้งหลายสู้ชีวิต อย่าอับจนปัญญา ให้พิจารณาหาทางเดินของตน ตามที่ชอบหรือถนัด รู้จุดแข็งของตน ดึงทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่จำนวนมากมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จะฝึกฝนวิชาใดจงมุ่งมั่นฝึกฝน อบรม และนำความรู้วิชาชีพไปประกอบอาชีพต่อไป



ข่าวโดย : ชาลิสา วัฒนะโชติ

จังหวัดลำพูน พิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น เพื่อยกย่องเป็นขวัญกำลังในแก่ผู้ที่เสียสละอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

บ่ายวันนี้ (13 ก.พ. 2557) ที่ ศาลากลางจังหวัดลำพูน นายนาวิน สินธุสะอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2556 ของจังหวัดลำพูน เพื่อคัดเลือกข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหะ เสียสละ อุทิศตน บังเกิดผลดีแก่ทางราชการและสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชน

คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาข้าราชการที่สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติดังนี้ กลุ่มที่ 1 ประเภทอำนวยการระดับสูง/วิชาการระดับเชี่ยวชาญ ไม่มีผู้เสนอเข้ารับการพิจารณา กลุ่มที่ 2 ประเภทอำนวยการระดับต้น/วิชาการระดับการชำนาญการพิเศษ/ทั่วไป ระดับอาวุโส ผู้ได้รับการพิจารณาคือ นายมานะ เดชเจริญ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนธีรกานท์บ้านโฮ่ง กลุ่มที่ 3 ประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ/ทั่วไป ระดับปฏิบัติการระดับชำนาญงาน ผู้ได้รับการพิจารณาคือ นายอเนก ใจหาญ ตำแหน่งนายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน สำนักงานจังหวัดลำพูน

สำหรับประวัติและผลงานของนายมานะ เดชเจริญ โดยสังเขปมีดังนี้ นายมานะ อายุ 58 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เริ่มรับราชการเมื่อปี 2520 ได้ตั้งใจอุทิศตนปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหพยายาม จนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติหลายด้านเช่น ได้รับรางวัลรองผู้อำนวยการสถานศึกษายอดเยี่ยม รางวัลครูผู้ฝึกสอนนักเรียน รางวัล 1 ครูแสนดี รางวัลพระราชทานการประกวดบุคคลดีเด่น โครงการ to be numberone ได้รับประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นด้านการป้องกันยาเสพติด ด้านการครองตนได้ปฏิบัติตน โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขใดๆ ทั้งยังส่งเสริมให้บุตรได้รับการศึกษาชั้นสูงและได้ทำงานมีอาชีพที่มั่นคง ประวัติและผลงานของนายอเนก ใจหาญ อายุ 53 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เริ่มรับราชการเมื่อปี 2537 ได้ตั้งใจปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท มีความรับผิดชอบสูงทำให้ผลงานสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้ช่วยพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของจังหวัดลำพูน ด้านการครองตนได้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข นับเป็นข้าราชการที่มีเกียรติประวัติที่ดี จึงได้รับการคัดเลือกเพื่อเสนอให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นของจังหวัดลำพูน อีกผู้หนึ่ง 

กลุ่มเกษตรกรทำนาอำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ เกือบพันคนปิดศาลากลางจังหวัดทวงเงิน ค่าจำนำข้าวที่รัฐบาลยังไม่จ่ายอีกกว่า ๑๐๐ ล้านบาท

ม๊อบชาวนาอำเภอทองแสนขัน

กลุ่มเกษตรกรทำนาอำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ เกือบพันคนปิดศาลากลางจังหวัดทวงเงิน ค่าจำนำข้าวที่รัฐบาลยังไม่จ่ายอีกกว่า ๑๐๐ ล้านบาท

ภายหลังจากรอเงินจากทาง ธกส.มาเป็นระยะเวลากว่า ๔ เดือนแล้ว จนถึงขณะนี้จะได้เวลาในการปลูกข้าวรอบต่อไป ทำให้เกิดหนี้สินและค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับในต้นทุนการผลิต กลุ่มเกษตรกรจากอำเภอทองแสนขันจาก ๕ ตำบล ได้แก่ ตำบลบ่อทอง,ป่าคาย,ผักขวาง,น้ำพี้และทองแสนขัน จึงได้รวมตัวกันเพื่อมา ทวงเงินพร้อมเปิดโต๊ะเจรจา/ประชุมชี้แจงบริเวณหน้าบันไดทางขึ้นศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้นำ ใบประทวนจำนวน ๙๕๘ ราย เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐๖,๖๔๘,๐๑๑.๓๖ บาทมาด้วย โดยนายชัช กิตตินภดล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมด้วยนายวีระชัย ภู่เพียงใจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ,ปลัดจังหวัด,เจ้าหน้าที่ตัวแทนจาก ธกส.จังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ออกมารับเรื่องร้องทุกข์และชี้แจงเหตุผลที่ต้องจ่ายเงินล่าช้าดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงเวลา ๑๐.๐๐ น.

ซึ่งทาง ธกส.ฯ ได้ชี้แจงถึงในส่วนของการโอนเงิน ซึ่งทั้งภาคเหนือได้รับการโอนเงินจำนวน ๙๐๐ ล้านบาท โดยที่จังหวัดอุตรดิตถ์ได้รับการจัดสรรทะยอยโอนเงินมารวมได้รับการโอนมาแล้วทั้งสิ้น ๑,๐๔๗ ล้านบาท ดำเนินการจ่ายไปแล้วถึงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ชาวนากว่า ๖,๔๐๐ ราย จำนวนข้าวกว่า ๖,๓๐๐ ตัน สำหรับชาวนาเขตอำเภอทองแสนขันได้ดำเนินการจ่ายเงินไปแล้ว ๒๔๘ ราย เป็นเงิน ๒๒ ล้านบาท เหลือค้างจ่ายอีก ๑,๑๘๔ ราย ทั้งนี้เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ผ่านมารัฐบาลได้โอนเงินให้กับจังหวัดอุตรดิตถ์ ๑๔๐ ล้านบาท ทาง ธกส.ได้จัดสรรเงินให้กับ ธกส.จำนวน ๑๒ สาขา ซึ่งของอำเภอ ทองแสนขันได้รับการจัดสรรลงไป ๕ ล้านบาท สำหรับเกษตรกรที่ยังไม่ได้ไปรับเงินโครงการจำนวนข้าวเปลือกนั้นต้องรอไปตามคิวเพราะแต่ละสาขาจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆตามคิว ที่ได้จัดให้เพื่อเกษตรกรมารับเงินดังกล่าวให้ครบทุกราย ซึ่งแต่ละสาขาก็ได้ทยอยจ่ายให้โดยการโอนเงินเข้าบัญชีของเกษตรกรโดยตรง พร้อมนี้ยังแจ้งให้เกษตรกรที่เดือดร้อนสามารถกู้เงินกับทาง ธกส.ได้รายละไม่เกิน ๑ แสนบาท ในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๐.๕๘๓ ต่อเดือน อีกทั้งสามารถเลื่อนการชำระหนี้สินกับทาง ธกส.ไปอีก ๖ เดือน โดยไม่เสียค่าปรับและไม่มีดอกเบี้ย

สำหรับข้อเรียกร้องเพิ่มเติม ชาวนาทองแสนขัน ขอเพิ่มวงเงินที่โอนให้แล้วจำนวน ๕ ล้าน เพิ่มอีก ๑๐ ล้าน รวมเป็น ๑๕ ล้าน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนไปก่อน โดยที่ ธกส.ได้รับปากกับชาวนาในการช่วยเหลือ จากนั้นจึงได้ยอมสลายการชุมนุมเรียกร้องในเวลา ๑๒.๓๐ น.

นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก เข้ารับโล่รางวัลพระปกเกล้า ด้านการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน และประชาสังคม ประจำปี 2556

นายบุญทรง แทนธานี นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก เข้ารับโล่รางวัลพระปกเกล้า ประจำปี 2556 จากศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ด้านการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน และประชาสังคม ประจำปี 2556 เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา

นายกเทศมนตรีตำบลหัวรอ นำทีม สท. ข้าราชการ พนักงานเทศบาล ลงพื้นที่สำรวจความต้องการของพี่น้องประชาน ผ่านเวทีประชาคมหมู่บ้าน

นายกเทศมนตรีตำบลหัวรอ นำทีม สท. ข้าราชการ พนักงานเทศบาล ลงพื้นที่สำรวจความต้องการของพี่น้องประชาน ผ่านเวทีประชาคมหมู่บ้าน มุ่งแก้ปัญหาตรงใจและตรงจุดความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

นายนพคุณ แถมพยัคฆ์ นายกเทศมนตรีตำบลหัวรอ นำทีมสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนพนักงานเทศบาลตำบลหัวรอลงพื้นที่ หมู่ 1 บ้านบางพยอม ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก เปิดเวทีประชาคมหมู่บ้าน โดยมีชาวบ้านกว่า 100 คน เข้าร่วมประชาคม ซึ่งการออกประชาคมหมู่บ้านในครั้งนี้นอกจากจะรับทราบความต้องการของพี่น้องประชาชนแล้วยังได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในเรื่องการที่เทศบาลตำบลหัวรอจะนำเตาเผาไร้มลพิษมาใช้กำจัดขยะในพื้นที่ เนื่องจากที่ผ่านมาตำบลหัวรอต้องประสบปัญหาวิกฤติขาดสถานที่กำจัดขยะ การนำเตาเผาขยะไร้สารพิษมาใช้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่เทศบาลตำบลหัวรอกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้ในพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้มีการสำรวจความต้องการของประชาชนในเรื่องการจัดการระบบน้ำประปา ในตำบลหัวรอ ที่หลายหมู่บ้านยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ โดยล่าสุดเทศบาลตำบลหัวรอได้เดินทางไปศึกษาดูงาน การจัดการระบบน้ำประปาที่อำเภอสัตหีบ จ.ระยอง ที่บริษัทเอกชนเป็นผู้ลงทุน และบริหารจัดการระบบน้ำประปาทั้งหมด

โดยที่เทศบาลจะเป็นผู้จัดหาสถานที่ ส่วนรายได้จากการจัดเก็บค่าน้ำส่วนหนึ่งจะเป็นของเทศบาล และเมื่อครบกำหนดตามสัญญาที่ตกลงไว้ระบบน้ำประปาทั้งหมดก็จะตกเป็นทรัพย์สินของเทศบาลทันที ซึ่งคาดว่าหากพี่น้องประชาชนเห็นชอบและต้องการให้มีการจัดทำระบบน้ำประปา โดยให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เทศบาลตำบลหัวรอก็จะเดินหน้าจัดทำแผนและหาข้อสรุป ก่อนเดินหน้าก่อสร้างระบบน้ำประปาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคาดว่าหากไม่มีปัญหาและอุปสรรค์ใดๆ ก็จะสามารถดำเนินการจัดทำได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ เทศบาลตำบลหัวรอจะทำการประชาคมหมู่บ้านรวม 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม ถึง 8 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งหลังจากการประคมหมู่บ้าน ทางเจ้าหน้าที่จะทำการรวบรวมข้อมูลความต้องการของประชาชนทั้ง 12 หมู่บ้าน เพื่อจัดทำแผนพัฒนาตำบลหัวรอได้ตรงตามความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งอันจะส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดี ชีวิตมีความสุข

เทศบาลนครพิษณุโลก เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เทศบาลนครพิษณุโลกเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนตระหนักและเห็นคุณค่าของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา สามารถนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมจะทำให้ห่างไกลยาเสพติด และฝึกอบรม กล่อมเกลาจิตใจให้มีคุณธรรม จริยธรรมเป็นคนดี

นายบุญทรง แทนธานี นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก กล่าวว่า ด้วยเทศบาลนครพิษณุโลก และสภาวัฒนธรรมจังหวัดพิษณุโลก จะจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นในระหว่างวันที่ 16-23 มีนาคม 2557 รวม 8 วัน จัดพิธีบรรพชาสามเณร ณ พัทธสีมา วัดคูหาสวรรค์ และศึกษาอบรม ณ วัดสันติวัน อ.เมือง จ.พิษณุโลก เพื่อให้เด็กและเยาวชนตระหนัก และเห็นคุณค่าของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา สามารถนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมจะทำให้ห่างไกลยาเสพติด และฝึกอบรม กล่อมเกลาจิตใจให้มีคุณธรรม จริยธรรมเป็นคนดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เทศบาลนครพิษณุโลกจึงขอเชิญชวนพี่น้อง ประชาชน ทุกท่าน ร่วมพิธีเจริญจิตภาวนาถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพิธีทำขวัญนาคเณร ในวันที่ 16-23 มีนาคม 2557 ณ วัดคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ. พิษณุโลก และขอเชิญร่วมจองเจ้าภาพบรรพชาสามเณร 2,000 บาท , ถวายภัตตาหาร 4,000 บาท และถวายน้ำปานะ 1,000 บาท แด่สามเณรระหว่างการบรรพชา โดยสอบถามรายละเอียด และแจ้งความประสงค์ได้ที่สำนักการศึกษา เทศบาลนครพิษณุโลก ตั่งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โทร. 055-983221-30 ต่อ 227,228

เทศบาลตำบลหัวรอ นำกลุ่มแม่บ้านฝึกอบรมการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ มุ่งสร้างงานสร้างอาชีพให้กับครอบครัว

นายนพคุณ แถมพยัคฆ์ นายกเทศมนตรีตำบลหัวรอ กล่าวว่า เพื่อให้กลุ่มแม่บ้านและผู้ว่างงานในพื้นที่ตำบลหัวรอได้มีความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ใหม่ ๆ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนได้มีรายได้เพิ่มขึ้น เทศบาลตำบลหัวรอจึงได้จัดอบรมการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์แบบใหม่ โดยเชิญวิทยากรจากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดพิษณุโลกมาเป็นผู้สอน มีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฝึกอบรมจำนวน 25 ท่าน ทำการฝึกอบรมรวม 3 วัน โดยมุ่งเน้นการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งการฝึกอบรมการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์แบบใหม่ จะเน้นที่ตัวกระดาษให้มีสีสันสวยงาม มีทั้งชนิดดอกไม้จันทน์ ดอกเดี่ยว ชนิดจัดพุ่ม และพวงหรีดแบบต่าง ๆ ด้านนางประดับ นาคบุรี ผู้เข้ารับการอบรม บอกว่า การรวมกลุ่มฝึกวิชาชีพด้วยการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ถือเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์ เพราะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ซึ่งการทำดอกไม้จันทน์ก็ไม่ยาก และคิดว่าหากมีตลาดลองรับอาชีพนี้น่าจะสร้างรายอีกทางหนึ่ง สอดคล้องกับนางดองกมล อินทชื่น ผู้เข้ารับการอบรม ที่ได้บอกว่า การประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากที่ผ่านในพื้นที่ตำบลหัวรอ เมื่อมีงานศพก็มักจะสั่งดอกไม้จันทน์จากต่างพื้นที่มาใช้ในงาน ซึ่งหากตำบลหัวรอมีดอกไม้จันทน์จัดจำหน่ายเอง ก็จะสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง

ร้านดอกไม้พิษณุโลก คึกคักรับวาเลนไทน์แล้ว

ที่จังหวัดพิษณุโลก บรรยากาศการซื้อดอกไม้ ของขวัญ ดอกกุหลาบ เนื่องในวันวาเลนไทน์ ตามร้านดอกไม้ต่าง ๆ เริ่มคึกคัก ตลอดทั้งวันมีนักเรียน นักศึกษา มาหาซื้อดอกกุหลาบ หรือดอกไม้ ตุ๊กตา ของขวัญ เพื่อจะนำไปมอบให้กับเพื่อน หรือคนพิเศษ เนื่องจากวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ ตรงกับวันมาฆบูชา และเป็นวันหยุดราชการ โดยส่วนใหญ่ ยังนิยมซื้อดอกกุหลาบสดสีแดง รองลงมา จะเป็นตุ๊กตา และ ช่อดอกไม้ที่ทำจากอมยิ้ม หรือ ช็อคโกแลต สำหรับราคาดอกกุหลาบสดวันนี้ เริ่มต้นที่ดอกละ 20 – 200 บาท

ที่ร้านดอกไม้พรพรรณ เลขที่ 7/4 ถ.เอกาทศรถ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เจ้าของร้านเปิดเผยว่า แม้ว่าวันวาเลนไทน์ปีนี้จะตรงกับวันมาฆบูชา และเป็นวันหยุดราชการ แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อยอดขายดอกกุหลาบ หรือ ดอกไม้ ในวันวาเลนไทน์ แต่อย่างใด เพราะส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่ให้ความสำคัญกับวันแห่งความรัก บรรยากาศการซื้อขายก็จะคึกคักเป็นประจำทุกปี

เริ่มแล้วเทศกาลโคมไฟ พิษณุโลก

จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับ สภาวัฒนธรรมจังหวัดพิษณุโลก ชมรม 7 สมาคมจีน จังหวัดพิษณุโลก จัดงานเทศกาลโคมไฟ ประจำปี 2557 ขึ้นที่บริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของคนไทยเชื้อสายจีน ตลอดจนเป็นการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลก โดยงานนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ. นี้

นางสาววราภรณ์ จาตุกัญญาประทีป ประธานคณะกรรมการจัดงานเทศกาลโคมไฟ ประจำปี 2557 กล่าวว่า งานเทศกาลโคมไฟนั้น ถือได้ว่าเป็นประเพณีอันดีงามที่น่าส่งเสริม โดยทุกบ้านจะนำโคมจีนมาแขวนไว้หน้าบ้าน และมีงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองก่อนที่วันต่อไปจะต้องทำงานหนัก เป็นกิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของคนไทยเชื้อสายจีน ตลอดจนเป็นการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลก โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี หลังวันปีใหม่ของจีน 15 วัน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557

ภายในงานวันนี้ได้พบกับขบวนแห่โคมไฟ สายเลือดมังกร อันตระการตา ประกอบไปด้วย ขบวนเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ฮก ลก ซิ่ว ขบวนล่อโก้ว ขบวนฮวยน้า ขบวนเองกอจากศาลเจ้าแม่ทับทิม อ.วังทอง ขบวนมังกรเงิน มังกรทอง ขบวนสิงโตกวางตุ้ง และสาวงามจากการประกวดมิสง่วนเซียว และกิจกรรมบนเวทีสวนชมน่านที่หลากหลาย ตลอด 3วัน 3 คืน และการประกวดหนูน้อยง่วนเซียว ประจำปี 2556 ในวันที่ 13กุมภาพันธ์ 2557 และ การประกวดสาวงามเทศกาลโคมไฟ หรือมิสง่วนเซียว ประจำปี 2557 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้






จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก จัดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ปี 2557


เช้าวันนี้ (13 ก.พ.57) ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกุลา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก นายวิทูรัช ศรีนาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานเปิดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ปี 2557 เพื่อให้บริการเกษตรกร ในรูปแบบการบูรณาการ งานบริการทุกสาขา ทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง พัฒนาที่ดิน โดยอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์เข้าช่วยในการปฏิบัติงานให้บริการเกษตรกร เพื่อเป็นการกระตุ้นเกษตรกรให้เกิดการตื่นตัวและยอมรับนวัตกรรมใหม่ๆ ตามความต้องการและความเหมาะสมกับประชาชนในพื้นที่ การจัดงานในครั้งนี้ มีหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข จัดบูธให้ความรู้ และมีการจัดนิทรรศการสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร มีการจำหน่ายสินค้าแปรรูปสินค้าเกษตร จากสถาบันกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และภาคเอกชน ซึ่งในการจัดโครงการในครั้งนี้มีเกษตรกรในพื้นที่อำเภอบางระกำ เข้าร่วมงานกว่า 500 คน

นายอำเภอเมืองพิษณุโลก เรียกประชุมเข้มผู้นำท้องถิ่นเพื่อหาทางออกแก้ไข้วิกฤตขยะล้นเมือง

เช้าวันนี้ (13 ก.พ.57) ที่ห้องประชุมชั้น 2 สำนักงานเทศบาลตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นายภาสกร บุญญลักษณ์ นายอำเภอเมืองพิษณุโลก เรียกประชุมผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อร่วมกันหาทางออกฝ่าวิกฤตขยะล้นเมือง หลังต้องประสบปัญหาไม่มีสถานที่กำจัดขยะ ส่งผลให้แต่ละท้องถิ่นต้องได้รับความเดือดร้อน และมีเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนมากมาย ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละท้องถิ่นต้องหาทางออกด้วยตัวเอง ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความล่าช้าและไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการขยะนั้นต้องใช้งบประมาณสูง ขณะที่แต่ละท้องถิ่นมีงบประมาณที่จำกัด การร่วมมือระหว่าท้องถิ่นจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ 

ขณะที่สถานการณ์ขยะในภาพรวมของอำเภอเมืองพิษณุโลก แต่ละท้องถิ่นได้มีการรณรงค์คัดแยกขยะในครัวเรือนเป็นหลัก ควบคู่กับการนำขยะเปียกมาทำปุ๋ยชีวภาพ ส่วนขยะที่เหลือจะถูกนำไปฝังกลบ ซึ่งบ่อฝังกลบดังกล่าวเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 5 เดือนก็จะไม่สามารถนำขยะไปทิ้งได้ ทำให้แต่ละท้องถิ่นเกิดความกังวลใจเกรงไม่มีสถานที่กำจัดขยะ ขณะที่หลายท้องถิ่นเห็นว่าควรมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาขยะอย่างจริงจัง นายนพคุณ แถมพยัคฆ์ นายกเทศมนตรีตำบลหัวรอ กล่าวว่า ในส่วนของเทศบาลตำบลหัวรอ ขณะนี้ได้มีการศึกษาวิธีการจัดการขยะ ด้วยการนำเตาเผาขยะไร้มลพิษมาใช้ ควบคู่กับการฝังกลบและคัดแยกขยะในครัวเรือน ทั้งนี้การนำเตาเผาขยะไร้มลพิษมาใช้เทศบาลตำบลหัวรอถือเป็นท้องถิ่นแห่งแรกในอำเภอเมืองพิษณุโลก 

ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ท้องถิ่นใกล้เคียงก็จะดำเนินการจัดการขยะในรูปแบบเดียวกัน ด้านนายภาสกร บุญญลักษณ์ นายอำเภอเมืองพิษณุโลก แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ปัญหาขยะในพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก โดยเฉพาะตำบลที่มีเขตติดต่อกับตัวเมืองพิษณุโลก เนื่องจากมีการขยายตัวของหมู่บ้านจัดสรร ประชากรหนาแน่น การบริหารจัดการขยะในสภาวะวิกฤตเป็นไปด้วยความยากลำบาก การอาศัยความมือระหว่างท้องถิ่นด้วยกันเองจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ พร้อมกันนี้ยังได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุดซึ่งประกอบด้วยนายกเทศมนตรี และปลัด เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญขยะอย่างจริงจัง ส่วนความคิดเห็นของผู้นำท้องถิ่นในเรื่องการจักการขยะนั้น ตนจะได้เสนอรายงานต่อจังหวัดเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้ต่อไป

จังหวัดตาก เปิดโครงการรณรงค์ป้องกันไฟป่าและหมอกควันสองแผ่นดิน

วันนี้ (๑๓ ก.พ.๕๗) เวลา ๑๐.๓๐ น. นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชาการจังหวัดตาก เป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์ป้องกันไฟป่าและหมอกควันสองแผ่นดิน ณ บ้านวาเล่ย์เหนือ ตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเมียวดี ประชาชนจากกิ่งอำเภอวาเล่ย์ใหม่ จังหวัดเมียวดี ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนม่าร์ ประชาชน จากตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ทั้งประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนม่าร์ จำนวน ๗๐๐ คน เข้าร่วมโครงการ โดยมีนายปัญญารัตน์ รังศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตาก เป็นผู้กล่าวรายงาน

นายปัญญารัตน์ รังศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตาก กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ไฟป่าในประเทศไทย นับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากความผันแปรของสภาพอากาศ ทำให้ช่วงหน้าแล้งยาวนาน การเกิดไฟป่าก็รุนแรงขึ้นและทอดระยะเวลายาวนานตามไปด้วย ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ จังหวัดตาก ประสบปัญหาไฟป่าและปัญหาหมอกควันรุนแรง ตรวจวัดค่าฝุ่นละอองในอากาศและคุณภาพอากาศมีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะพื้นที่ด้านฝั่งตะวันตกในท้องที่ ๕ อำเภอชายแดน ติดประประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนม่าร์ซึ่งเกิดไฟป่าและหมอกควันที่เกิดบางส่วน ต้องยอมรับว่ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ได้มีการเผาพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่า ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนตลอดจนการท่องเที่ยวของทั้ง ๒ ประเทศ และในปี ๒๕๕๗ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตระหนักถึงพิษภัยของหมอกควันไฟป่าข้ามแดน จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตาก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๑๔ (ตาก) และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ ๔ (ตาก) ประสานกับหน่วยงานในท้องที่ จัดรณรงค์ป้องกันไฟป่าและหมอกควันตามแนวชายแดนทั้ง ๒ ประเทศ