วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานประกวดตกแต่งภูมิทัศน์และจัดร้านค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) "งามสะพรั่งมวลพฤกษาล้ำค่าภูมิปัญญาชาติพันธุ์เชียงใหม่"

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานประกวดตกแต่งภูมิทัศน์และจัดร้านค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) "งามสะพรั่งมวลพฤกษาล้ำค่าภูมิปัญญาชาติพันธุ์เชียงใหม่" ในงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 38 ประจำปี 2557 เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP

วันที่ (7 กุมภาพันธ์ 2557) เวลา 17.30 น. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นประธานในพิธีเปิดร้านค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 25 อำเภอ ในงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 38 ปี 2557 ภายใต้ชื่องาน “งามสะพรั่งมวลพฤกษาล้ำค่าภูมิปัญญาชาติพันธ์เชียงใหม่” ณ สวนสาธารณะหนองบวกหาด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในงานนี้มีการจัดการประกวดความสวยงามของร้าน แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ (ตกแต่งด้วยไม้ดอก/ไม้ประดับ ภูมิปัญญา และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น) การจัดแสดงผลิตภัณฑ์ OTOP ให้สวยงาม น่าสนใจ และใช้ในเชิงพาณิชย์ ความพร้อมเพรียงและการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง (การแต่งกายชาติพันธุ์/พื้นเมือง การแสดงทางวัฒนธรรม) รูปแบบการนำเสนอ (ความคิดสร้างสรรค์ เทคนิค เรื่องราว เชื่อมโยง และสอดคล้องกับการงาน)

นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงานว่า จังหวัดเชียงใหม่โดยอนุกรรมการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และคณะกรรมการเครือข่ายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จังหวัด ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP พร้อมทั้งจัดประกวดร้านแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ของทุกอำเภอ ภายใต้แนวคิด “งามสะพรั่งมวลพฤกษาล้ำค่าภูมิปัญญาชาติพันธุ์เชียงใหม่” โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ 2.เพื่อสร้างโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมช่องทางการตลาดของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดเชียงใหม่ 3.เพื่อส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว วิถีชีวิต วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดเชียงใหม่ 4.สนับสนุนให้มีการสร้างเครือข่ายการผลิต การตลาดให้มีความเข้มแข็งสามารถบริหารจัดการ และสร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP โดยการตัดสินการประกวดรางวัลชนะเลิศ อำเภอ แม่ริม เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมโล่ห์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 อำเภอแม่แตง เงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมโล่ห์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่2 อำเภอฝาง เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมโล่ห์ รางวัลชมเชย 3 รางวัล ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสันกำแพง และอำเภอดอยสะเก็ด รางวัลละ 1,000 บาท พร้อมใบประกาศ



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/อนันต์ ชุ่มใจ

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน "ข่วงวัฒนธรรม ชาติพันธุ์" ในงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 38 ประจำปี 2557

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดงาน "ข่วงวัฒนธรรม ชาติพันธุ์" ในงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 38 ประจำปี 2557 ท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมสืบทอด และประชาสัมพันธ์มรดกประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้ากับกิจกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนำเสนออัตลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรม

วันที่ (7 กุมภาพันธ์ 2557) เวลา 19.00 น. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานเปิดงาน “ข่วงวัฒนธรรม ชาติพันธุ์” ในงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 38 ประจำปี 2557 ณ สวนสาธารณะหนองบวกหาด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในงานนี้ได้มีการนำเอาการแสดง ด้านอัตลักษณ์ ประเพณี และวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ผนวกเข้ากับการจัดงานไม้ดอกไม้ประดับได้อย่างลงตัว ทำให้พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ได้มีโอกาสเผยแพร่ ประเพณีวัฒนธรรมของตน ให้สังคมและประชาชนได้ชื่นชม นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดงาน “ข่วงวัฒนธรรม ชาติพันธุ์” ในงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 38 ประจำปี 2557 มีวัตถุประสงค์หลักในการกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดงาน ของจังหวัดให้สอดคล้องต่อเศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบัน เพิ่มขีดการแข่งขัน ด้านการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมสืบทอด และประชาสัมพันธ์มรดกประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้ากับกิจกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนำเสนออัตลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรม ภายใต้เวทีการแสดง “ข่วงวัฒนธรรม ชาติพันธุ์”



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา

เรือนจำจังหวัดพะเยา จัดโครงการ "สายสัมพันธ์วันแห่งความรัก" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดีได้รับการเยี่ยมอย่างใกล้ชิดจากญาติภายในเรือนจำในลักษณะแบบใกล้ชิดตัว

นายไพฑูรย์ อำพันธ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า เรือนจำจังหวัดพะเยา กำหนดจัดโครงการ “สายสัมพันธ์วันแห่งความรัก” ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ภาคเช้า เวลา 09.00-11.00 น. ภาคบ่าย เวลา 13.00-15.00 น. ณ โรงอบรมผู้ต้องขัง ภายในเรือนจำจังหวัดพะเยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดี อยู่ในระเบียบวินัยของเรือนจำได้รับการเยี่ยมอย่างใกล้ชิดจากญาติภายในเรือนจำในลักษณะแบบใกล้ชิดตัว ไม่มีสิ่งกีดขวางในการสนทนา มีโอกาสได้พบปะและรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างความอบอุ่นและความเข้าใจอันดีในครอบครัว และสร้างความอบอุ่นแก่ผู้ต้องขังรวมทั้งทำให้ผู้ต้องขังเกิดความรู้สึกที่ดี มีกำลังใจจะกลับตนเป็นคนดีของสังคมภายหลังพ้นโทษ สำหรับญาติที่จะเข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง ต้องเกี่ยวดองโดยตรงกับผู้ต้องขัง คือ เป็นบิดา มารดา สามี ภรรยา พี่น้อง และบุตรของผู้ต้องขังเท่านั้น ซึ่งญาติสามารถเข้าเยี่ยมในแต่ละครั้งได้ไม่เกิน 3 คน ต่อผู้ต้องขัง 1 คน

ทั้งนี้ญาติของผู้ต้องขังสามารถแจ้งความจำนงจองวันเยี่ยมได้ที่ ฝ่ายทัณฑปฏิบัติ เรือนจำจังหวัดพะเยา ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ในวันและเวลาราชการ โดยนำสำเนาบัตรประชาชนหรือบัตรอื่นๆ ที่ทางราชการออกให้ไปแสดงด้วย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนควบคุมและทัณฑปฏิบัติ ฝ่ายทัณฑปฏิบัติ เรือจำจังหวัดพะเยา โทร.054-887242 ต่อ 112


ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ

จังหวัดพะเยา เตรียมจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำ กลางกว๊านพะเยา หนึ่งเดียวในโลก เนื่องในวันมาฆบูชา 14 กุมภาพันธ์นี้

นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า จังหวัดพะเยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยาหนึ่งเดียวในโลกเนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 2557 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ณ วัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา โดยกำหนดการในวันดังกล่าวนั้น จะเริ่มตั้งแต่เวลา 07.30 น. ซึ่งจะเป็นการประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมทำบุญตักบาตรข้าวสารตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์จำนวน 87 รูป ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง ส่วนในภาค่ำนั้นจะเป็นกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอาราม กลางกว๊านพะเยา ซึ่งมีพระพุทธรูปหินทราย หลวงพ่อศิลา อายุกว่า 500 ปี ประดิษฐานประจำวัดติโลกอาราม โดยจะเริ่มพิธีตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป ทั้งนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศการเวียนเทียนทางน้ำที่ถือว่ามีแห่งเดียวในโลก ประกอบกับวันดังกล่าวตรงกับวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไลน์ ซึ่งน่าจะมีทั้งคู่รักและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

สำหรับการเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยานั้นถือเป็นการเวียนเทียนทางน้ำ หนึ่งเดียวในโลกที่จังหวัดพะเยา โดยรอบปีหนึ่งจะจัดเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา จังหวัดพะเยาจึงขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติ ร่วมพิธีเวียนเทียนทางน้ำ ตามวันเวลา และสถานที่ดังกล่าว


ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ

สาธารณสุขพะเยาร่วมรณรงค์งดการเผาทุกชนิด เตือนกลุ่มเสี่ยงให้ดูแลสุขภาพใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันมลพิษหมอกควัน

นายแพทย์สุรินทร์ สุมนาพันธุ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ปัญหาการเกิดหมอกควันและไฟป่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจาทุกปีในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย จากสถานการณ์ในปี 2555 – 2556 ที่ผ่านมา จังหวัดพะเยามี ค่าPM 10 หรือค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมง เกินมาตรฐาน จำนวน 25 วัน และ 17 วัน ตามลาดับ โดยปี 2555 มีค่าสูงสุดในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 ถึง 278.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ปี 2556 มีค่าสูงสุดวันที่ 26 มีนาคม 2556 จากสถานการณ์ดังกล่าวจังหวัดพะเยาโดยผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา จึงถือเรื่องการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าเป็นนโยบายที่สำคัญ ที่ต้องได้รับการป้องกันและแก้ไขด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และออกประกาศจังหวัดเรื่องมาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยกำหนดมาตรการงดเผา 80 วันอันตราย ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2557 ถึงแม้ว่าในขณะนี้ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM 10) ยังไม่เกินค่ามาตรฐานก็ตาม

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพะเยา กล่าวด้วยว่า สานักงานสาธารณสุขจังหวัดพะเยา ได้แจ้งขอความร่วมมือหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง และอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงภัยจากมลพิษหมอกควันและแนะนำประชาชน ป้องกันที่ต้นเหตุ คืองดการเผาทุกชนิด เพื่อลดปัญหาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยมีข้อแนะนำการดูแลสุขภาพสาหรับประชาชนทั่วไปและประชาชนกลุ่มเสี่ยงดังนี้ คือ (1) ช่วงเวลาที่มีหมอกควันหรือฝุ่นละอองมาก ให้ป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย (2) หลีกเลี่ยงการออกกาลังกายหรือมีกิจกรรมในที่โล่งแจ้งนานๆ (3) ปิดประตู หน้าต่างที่พักอาศัย หรือในกรณีที่ไม่สามารถปิดประตูหน้าต่างได้ ให้ใช้ผ้าชุบน้า ทาเป็นม่านปิดประตูหน้าต่าง เพื่อเป็นตัวกั้นฝุ่นไม่ให้เข้าบ้าน (4) ดื่มน้ามากๆ และงดเว้นการสูบบุหรี่ และ (5) หากมีอาการผิดปกติต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก แสบจมูก ไอ เสียงแหบ หายใจลาบาก และแสบตา มีผื่นแดงตามร่างกาย ให้รีบไปตรวจรักษาและพบแพทย์ทันที สาหรับกลุ่มเสี่ยงจะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ โดยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการรับประทานยา การรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องหรือรีบไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการทรุดลง



ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ

องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ยวมน้อยร่วมกับชาวบ้านบวชป่าฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม 2 แผ่นดิน แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 10.00 น. ที่บริเวณดอยผา ตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายวิจารณ์ ณรงค์รุ่งเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ยวมน้อย ร่วมกับชาวบ้านจัดโครงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการนำชาวเข้าร่วมพิธีบวชป่า มีพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลให้เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าไม้ของดอยผา ซึ่งเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้นานาพันธุ์

หลังจากพิธีสงฆ์เสร็จสิ้นได้มีการมอบผ้าห่มกันหนาวให้ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีบวชป่า และมอบผ้าเหลืองเพื่อสำหรับบวชต้นไม้ให้ชาวบ้านช่วยกันนำไปผูกต้นไม้ในพื้นที่เพื่อเป็นการบวชป่าตามประเพณีความเชื่อของชาวบ้านว่าต้นไม้ที่มีผ้าเหลืองผูกติดไว้ถือว่าเป็นการบวชแล้วถ้าใครไปตัดก็จะเป็นบาปติดตัว
นายวิจารณ์ ณรงค์รุ่งเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ยวมน้อย กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยนับวันจะเหลือน้องลง เนื่องจากมีประชากรเพิ่มขึ้น การบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ทรัพยากรป่าไม้ถูกทำลายจำนวนมากกว่า 60 % ดังนั้นจึงต้องปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นความสำคัญของป่าไม้และแหล่งน้ำ ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ยวมน้อยได้นำชาวบ้านในเขตรับผิดชอบของแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง และตำบลแม่สึก เขตอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งมีพื้นที่เขตติดต่อร่วมกันรักษาป่าไว้ให้ลูกหลานและเยาวชนได้สานต่อในการดูแลป่าไม้

นายวิจารณ์ กล่าวอีกว่า เขตพื้นที่ดอยผา ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลโดยประมาณ 1,800 เมตร ในตอนเช้ามีทะเลหมอกอากาศจะหนาวเย็นอยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส และตอนเย็นก็จะมองเห็นพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลจะเสนอของบประมาณยุทธศาสตร์จังหวัดพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวสามารถพักกางเตนท์ชมความสวยงามและสัมผัสบรรยากาศที่หนาวเย็น.



ข่าวโดย : สมาน ต้นใส /สวศ.แม่ฮ่องสอน

สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่ กรมประชาสัมพันธ์ จัดเวทีเสวนาร้อยรวมใจเพื่อใต้สันติสุข เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนของศาสนาพุทธและอิสลามที่ถูกต้อง

เช้าวันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2557)  นายอดิศร กำเนิดศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิด เวทีเสวนาร้อยรวมใจเพื่อใต้สันติสุข เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนของศาสนาพุทธและอิสลามที่ถูกต้อง ที่โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนา ประกอบด้วย สื่อมวลชน และเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด รวม 80คน เพื่อให้สื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ที่ร่วมการสัมมนานำข้อมูลข่าวสารไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน มีความรู้ ความเข้าใจ ในหลักสอน ของศาสนาทุกศาสนาที่ถูกต้อง และนำไปเป็นแนวปฎิบัติในการ ดำเนินชีวิตอันนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนพื้นฐานความแตกต่างทางศาสนา ต่อไป

ในงานมีการสัมนนา ประกอบ การบรรยาย เรื่องประสบการณ์ การปฎิบัติงานประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย พลตรีอัคร ทิพย์โรจน์ ที่ปรึกษากองทัพบก เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในเรื่องการประชาสัมพันธ์และการจัดการข่าวสาร และการบรรยายเรื่อง หลักคำสอนทางศาสนาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองร่วมกันในหลักคำสอนทางศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ซอแระห์ แสวงศิริผล และพระมหาช่วง ภูรีฑฒโน วัดศรีชลธาร อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และรับฟังการบรรยาย เรื่องอิสลาม วิถีชีวิตแห่งอารายธรรม จาก ดร.บรรจง ไวทยเมธา รองผู้อำนวยการศูฯย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในวิ๔ชีวิตของชาวมุสลิม โดยเฉพาะในเรื่องของฮาลาล ซึ่งเป็นข้อปฎิบัติที่สำคัญประการหนึ่งของมุสลิม อันจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่าสันติสุขต่อไป นอกจากนั้นผู้เข้าร่วมการสัมมนาจะได้ศึกษาดูงานการแสดงสินค้าฮาลาล นานาชาติเชียงใหม่ และศึกษาดูงานการประชาสัมพันธ์เผยแพร่สินค้าผลิตภัณฑ์ การบริการต่างๆที่เกี่ยวกับข้องกับฮาลาลจากทุกภาคของประเทศ/


ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว

อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สนธิกำลัง ทำลายไร่ฝิ่น กว่า 27,000 ต้น ไม่พบผู้กระทำความผิด

เมื่อวานนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2557)  นายชิษณุพงศ์ บรูณา นายอำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบหมายให้นายสมชาย โภคาเทพ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วยเจ้าที่ฝ่ายปกครอง กองร้อย และ อส.แม่ลาน้อยที่ 5 จำนวน 9 นาย เข้าตัดทำลายและเผาต้นฝิ่น พร้อมยึดของกลาง ที่บ้านหัวดอย หมู่ที่ 5 ตำบลสันติคีรี จำนวน 2 แปลง แปลงที่ 1 บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ พบฝิ่นประมาณ 13,500 ต้น สูงประมาณ 30 เซนติเมตร และแปลงที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 1 งาน พบฝิ่นประมาณ 3,500 ต้น สูงประมาณ 100 เซนติเมตร

นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ เข้าตัดทำลายและเผาต้นฝิ่น พร้อมยึดของกลาง ที่บ้านกะริคี หมู่ที่ 6 ตำบลสันติคีรี จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 3 งาน พบฝิ่นประมาณ 10,000 ต้น สูงประมาณ 25 เซนติเมตร เจ้าหน้าที่ได้ยึดของกลาง และดำเนินการ หาตัวผู้กระทำความผิด เพื่อลงโทษตามกฏหมายต่อไป/



ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน

สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดประชุมชี้แจงการจัดอบรมกิจกรรมฟื้นฟูอาชีพ ภายใต้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท

สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดประชุมชี้แจงการจัดอบรมกิจกรรมฟื้นฟูอาชีพ ภายใต้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท

เมื่อวานก่อน (4 ก.พ.57) นายปรัชญา มากไมตรี สหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานการประชุมชี้แจงการจัดอบรมกิจกรรมฟื้นฟูอาชีพ ภายใต้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท แก่ผู้บริหารสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจำนวน 10 แห่ง ที่ ห้องประชุมสำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อสร้างความเข้าในในแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามโครงการ โดยมีสมาชิกสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 1,173 ราย รวมจำนวนเงินที่ให้การช่วยเหลือฟื้นฟูอาชีพ จำนวน 3,519,000 บาท สำหรับสมาชิกสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นการบรรเทาภาระหนี้สินของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และมีปัญหาการส่งชำระหนี้ทั้งสถานะหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอาชีพและเพิ่มรายได้แก่สมาชิกสหกรณ์ให้สามารถส่งชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรได้ภายหลังจากเข้าร่วมโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย

นายบุญส่ง วงศ์โสภา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการบริหารจัดการสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวฯ เกิดจากนโยบายของรัฐบาลที่จะดำเนินการพักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท อย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้มีหนี้เกิน 500,000 บาท รวมทั้งจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพและแผนปรับโครงสร้างการผลิตอย่างครบวงจรเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ที่มั่นคง ซึ่งครอบคลุมเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรด้วย สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็น 2 ลักษณะ คือ กลุ่มที่มีหนี้ค้างชำระ จะได้รับการชดเชยดอกเบี้ยให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของมูลหนี้ที่เหลืออยู่จริง และกลุ่มที่มีหนี้ปกติจะได้รับการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ทั้งนี้เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึง 30 กันยายน 2558




ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.แม่ฮ่องสอน

อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน แหล่งผลิตผ้าบาติก ผ้ามัดย้อมที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ จัดงานบาติกงามพร้อม มัดย้อมงามตา งานผ้ากองงาม ครั้งที่ 6

อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน แหล่งผลิตผ้าบาติก ผ้ามัดย้อมที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ จัดงานบาติกงามพร้อม มัดย้อมงามตา งานผ้ากองงาม ครั้งที่ 6 มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างอาชีพสร้างรายได้แก่ชุมชน

นายสุวรรณ กล่าวสุนทร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน บาติกงามพร้อม มัดย้อมงามตา งานผ้ากองงาม ครั้งที่ 6 ณ บริเวณหน้าวัดป่าเหียง บ้านกองงาม ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนได้ทดลองทำผ้ามัดย้อมตั้งแต่ขั้นตอนการพับผ้า มัดด้วยยาง จุ่ม ย้อมสี ผลออกมาสวยงามไม่แพ้มืออาชีพ นายทวี ณ ลำพูน นายกเทศมนตรีตำบลแม่แรง กล่าวว่า ตำบลแม่แรงมีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่เกิดจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน สืบทอดต่อกันมาแต่บรรพบุรุษ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือที่แปรรูปเป็นสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นที่รู้จักแพร่หลาย นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์ผ้าบาติก ผ้ามัดย้อมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งที่สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนตำบลแม่แรงและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนมาก เนื่องจากมีช่างฝีมือดีที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องผ้าและได้เข้ารับการฝึกอบรมการทำผ้าบาติก ผ้ามัดย้อม สามารถประกอบอาชีพเองและขยายตัวในชุมชน สร้างอาชีพสร้างรายได้แก่ชุมชน จนกลายเป็นหนึ่งเดียวของจังหวัดลำพูนในเรื่องศิลปะบนผืนผ้าที่สื่อให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ จนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถส่งไปขายทั้งในและต่างประเทศ แหล่งผลิตใหญ่ๆ กระจายอยู่ในชุมชนหลายหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านกองงาม บ้านต้นผึ้ง บ้านแม่แรง และบ้านป่าเบาะ การจัดงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 7–9 กุมภาพันธ์ 2557 เพื่อเผยแพร่ผลิตภัณฑ์และส่งเสริมรายได้ให้แก่ชุมชน เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของตำบลแม่แรงให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดผ้าบาติกและผ้ามัดย้อม

ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ความร่มเย็นเป็นสุขของคนในชุมชนเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความสามัคคีในหมู่คณะที่ทุกคนทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานนี้ขึ้นและทำเพื่อชุมชน ประการสำคัญประการหนึ่งคือเศรษฐกิจของครอบครัวและชุมชน ตำบลแม่แรงถือเป็นชุมชนตัวอย่างชุมชนหนึ่งที่มีเศรษฐกิจอยู่ในระดับดี ที่ประชาชนยังคงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเป็นแหล่งผลิตผ้าบาติก ผ้ามัดย้อมที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดลำพูนและใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ขอให้ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย พัฒนาผลงานและคุณภาพของสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืนของอาชีพที่นำมาซึ่งรายได้
ภายในงานพบกับการเปิดร้านจำหน่ายผ้ามัดย้อมและผ้าบาติก รวมถึงของดีบ้านกองงาม และหมู่บ้านใกล้เคียง ชมการสาธิตขั้นตอนกระบวนการทำผ้ามัดย้อม–บาติก ชมการแสดงแฟชั่นโชว์หนูน้อยบาติก การประกวดธิดาบาติก วงดนตรีลูกทุ่งคำเมือง เสมา เมืองเม็งราย และเอ็ดดี้ ตลาดแตก


ข่าวโดย : ชาลิสา วัฒนะโชติ

ม.ราชภัฏลำปาง ร่วมกับ สคอ. และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ใน จ.ลำปาง ร่วมกันขับเคลื่อน รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ

มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง บูรณาการร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชมรมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ BigBike จัดกิจกรรมโครงการ ราชภัฏสร้างวินัย เคารพกฎหมาย ใส่ใจจราจร "รวมพลังขับเคลื่อนรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100%" และพิธีประกาศเจตนารมณ์เครือข่าย "องค์กรต้นแบบ สวมหมวกนิรภัย 100% จังหวัดลำปาง" ที่ อาคารหอประชุมจันทน์ผา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ตำบลชมพู อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง มีนายฤทธิ์พงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นประธานเปิดโครงการและปล่อยขบวนรถ รณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% โดยมีคณะผู้บริหาร จากหน่วยงานสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดลำปาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ เยาวชนเด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ในจังหวัดลำปาง และสมาชิกชมรมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ BigBike จากจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง รวมมากกว่า 300 คน เข้าทำกิจกรรมรณรงค์ร่วมกัน

กิจกรรมรณรงค์ดังกล่าวได้จัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อรณรงค์ส่งเสริม และกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้มีการสวมใส่หมวกนิรภัยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ได้คำนึงถึงความปลอดภัย และตระหนักถึงผลดี ของการสวมใส่หมวกนิรภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ทุกครั้ง และหันมาสวมใส่หมวกนิรภัยให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั่วทุกพื้นที่ในจังหวัดลำปาง ตลอดจนเพื่อเป็นการเผยแพร่ให้ความรู้ด้านกฎหมายจราจร แก่เยาวชน และประชาชนทั่วไป เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ ที่เสี่ยงอันตราย และเกิดการขับขี่ปลอดภัยอย่างทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุในท้องถนน และเพื่อให้ทุกวันเป็นวันระวังอันตรายจากอุบัติเหตุ ทั้งนี้จากสถิติที่ผ่านมาการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่รถ ของจังหวัดลำปาง เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ เกิดจากการดื่มสุราเมาแล้วขับ เกิดจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และการขับขี่รถในลักษณะเสี่ยงอันตราย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต มักเกิดกับผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ และสาเหตุของการเสียชีวิตส่วนมาก เนื่องจากประมาทไม่สวมใส่หมวกนิรภัย
โอกาสนี้ นายฤทธิ์พงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานด้านการศึกษาในจังหวัดลำปาง เพื่อประกาศเจตนารมณ์เครือข่าย “องค์กรต้นแบบ สวมหมวกนิรภัย 100% จังหวัดลำปาง” และได้ให้เกียรติมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ แก่หน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนโครงการฯ และกลุ่มชมรมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ BigBike จากจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และมอบหมวกนิรภัย ให้แก่ตัวแทนชุมชนต่างๆ ทั้ง 10 ชุมชน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พร้อมกันนี้ได้ให้เกียรติเป็นประธาน ปล่อยขบวนรถจักยานยนต์ “รวมพลังขับเคลื่อนรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100%” ออกวิ่งรณรงค์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ไปตามถนนเส้นทางต่างๆ ผ่านสถานที่สำคัญๆ ในชุมชนรอบตัวเมืองลำปาง ไปสิ้นสุดขบวนที่ บริเวณสวนสาธารณะเขลางค์นคร ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง รวมระยะทางร่วม 15 กิโลเมตร
ดูคลิป http://youtu.be/iwb23cmjvMU



ข่าวโดย : นายชาญณรงค์ ปันเต

กฟผ.แม่เมาะ เปิดโครงการนำร่อง เปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นชนิด LED พร้อมเดินหน้าขยายผล ให้มีการใช้งานครอบคลุมในหน่วยงานทุกภาคส่วน

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)แม่เมาะ ทำพิธีเปิดตัวโครงการ "เปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นแบบชนิด LED" ที่ บริเวณถนนด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่านหินลิกไนต์แม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง มีนายสุนชัย คำนูณ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดโครงการ โดยมีคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงาน เจ้าหน้าที่ ของ กฟผ.แม่เมาะ และกลุ่มตัวแทนบริษัท ภาคเอกชน ร่วมกิจกรรมเปิดตัวโครงการฯ

โครงการ “เปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นแบบชนิด LED” ของ กฟผ.แม่เมาะ เป็นหนึ่งในโครงการพื้นที่นำร่อง ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานตัวอย่างในการรณรงค์ให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ โดยนายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการทุกวิถีทาง ผ่านตัวโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อจะรณรงค์ให้ประชาชนได้เกิดจิตสำนึกรู้คุณค่าของพลังงาน และสร้างความตระหนักให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกัน ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และในปี 2557 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้จัดทำโครงการ “ส่งเสริมการใช้อุปกรณ์แสงสว่าง LED” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระบบแสงสว่างที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการนำร่องติดฉลากประหยัดไฟ เบอร์ 5 ในหลอด LED ทุกชนิดที่มีจำหน่ายในท้องตลาด พร้อมกันนี้ได้ดำเนินการเปลี่ยนโคมไฟถนน ให้เป็นแบบชนิด LED รวมทั้งสิ้น 4,266 โคม นำร่องในสถานที่หน่วยงานในสังกัด รวม 8 แห่ง ได้แก่ สำนักงานกลางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์, เขื่อนศรีนครินทร์, เขื่อนวชิราลงกรณ์, เขื่อนรัชชประภา, โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และสุดท้ายที่ กฟผ.แม่เมาะ ทั้งนี้เพื่อเป็นกรณีศึกษาด้านการประหยัดพลังงาน รวมทั้งมีแผนจะดำเนินการขยายผล ไปสู่หน่วยงานทุกภาคส่วน ที่มีการใช้ไฟฟ้าแสงสว่างในปริมาณมากๆ ซึ่งจะสามารถช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงได้ประมาณ 3.6 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นมูลค่าเงินที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ปีละกว่า 10.8 ล้านบาท และยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากถึง 1,860 ตันต่อปี
สำหรับโครงการที่จัดทำขึ้น ภายในพื้นที่ ของ กฟผ.แม่เมาะ ครั้งนี้ได้มีการติดตั้งโคมไฟแสงสว่าง ชนิด LED ทดแทนโคมไฟแบบเดิม จำนวนทั้งหมด 1,543 โคม โดยจากการคำนวณคาดว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 1.8 ล้านหน่วยต่อปี หรือปีละประมาณ 5.4 ล้านบาท และสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณ 930 ตันต่อปี



ข่าวโดย : นายชาญณรงค์ ปันเต