วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมแจงและลงนามข้อตกลง ในการขับเคลื่อน โครงการปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5"

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมแจงและลงนามข้อตกลงในการขับเคลื่อนโครงการปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" แก่พระสังฆาธิการในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1,600 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ แระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ลดปัญหาความขัดแย้ง

วันนี้ (2 ก.ค. 57 ) เวลา 13.00 น. สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมแจงและลงนามข้อตกลงในการขับเคลื่อนโครงการปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5” แก่พระสังฆาธิการในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1,600 รูป ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา โดยมีพระวิสุทธิภาคธิวงศาจารย์ เจ้าคณะภาค 7 เป็นประธานในพิธี และได้รับเกียรติจากนายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้กล่าวถวายรายงาน พร้อม ดร.ศราวุฒิ ศรีศกุน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร(องค์การมหาชน) ร่วมกล่าวต้อนรับ

นายสริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดประชุมชี้แจงโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5”จังหวัดเชียงใหม่ ถวายแด่พระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสวัดทุกวัดในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1,600 รูป โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ แระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 2.เสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน 3. เพื่อให้ประชาชนได้นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข 4. เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรักเชิดชูสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประเทศชาติเกิดความสงบร่มเย็น

ทั้งนี้ การกำหนดจัดกิจกรรมในการสนับสนุนส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ประชาชน ทุกเพศทุกวัย ได้นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ไปพัฒนาชีวิต ครอบครัว ชุมชน และสังคม โดยเน้นการรณรงค์ส่งเสริมและสนับสนุน ให้มี “หมู่บ้านรักษาศีล 5” ขึ้นในทุกส่วนของจังหวัด โดยมีเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าอาวาส ผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรเครือข่ายต่างๆ ในพื้นที่ ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนมีความรัก และเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสามัคคีปรองดอง ของคนในชาติ ต่อไป

โครงการปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมพระพุทธศาสนา “หมูบ้านรักษาศีล 5” เป็นที่โครงการที่เกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหามากมาย ประกอบด้วย การกระทำผิดกฎหมาย การแตกแยกทางความคิด และการจาบจ้วงดูหมิ่นสถานบันหลักของชาติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากการขาดสติ จิตสำนึกคุณธรรมและจริยธรรม จังหวัดเชียงใหม่จึงได้จัดประชุมแจงโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ฯ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ แระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ลดปัญหาความขัดแย้ง เพื่อให้ประชาชนได้นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข และเพื่อปลูกฝัง จิตสำนึกและสร้างความตระหนักรักเชิดชูสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ประเทศชาติเพื่อเกดความสงบสุขร่มเย็นของคนในชาติต่อไป

การประชุมครั้งนี้ พระสังฆาธิการ จำนวน 1600 รูป ได้ร่วมพระพุทธมนต์เพื่อความปรองดองสมานฉันท์และความเป็นสิริมงคลของคนในชาติ พร้อมชมนิทรรศการของโรงเรียนรักษาศีล 5 โดยมีการบรรยายพิเศษ “โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5” โดย พระธรรมคุณากรณ์ รองคณะภาค 7 และการบรรยายแนวทางการดำเนินงานสร้างความปรองดองของ คสช. โดยผู้แทน มทบ. 33 และการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5” โดยพระเทพมุงคลาจารย์ ร่วมกับ ผอ.พศจ.ชม. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานประชาสัมพันธ์ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา 053-010572-3



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/ วิมลฉัตร สุดวิลัย /สมัชญา หน่อหล้า
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

กองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก จัดกิจกรรม "คืนความสุขสู่ประชาชน"

กองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก จังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม "คืนความสุขสู่ประชาชน" ในวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2557 เวลา 09.00-15.00 น. บริเวณอ่างเก็บน้ำกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก ตำบลแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดย พันเอกชิต แดงปรก หัวหน้ากองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก แถลงในวาระ กิจกรรมคืนความสุขสู่ประชาชน

พันเอกชิต แดงปรก หัวหน้ากองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก ได้ชี้แจงรายละเอียดกิจกรรม คืนความสุขสู่ประชาชน ว่า กิจกรรมดังกล่าว ทางกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก ร่วมกับหน่วยงานทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ในพื้นที่ โดยกิจกรรมคืนความสุขสู่ประชาชนนี้ มีการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆมากมาย เช่น 1.การแข่งขันตกปลาในพื้นที่บ่อตกปลา โดยไม่คิดค่าบริการ และได้ปลากลับไปบริโภคได้เลย 2.สนุกสนานกับวงดนตรี ของวงมณฑลทหารบกที่ 33 3.การสนุกสนานและถ่ายรูปกับการขี่ม้า 4.การบริการทางด้านการแพทย์ การนวดแผนโบราณ 5.การบริการด้านสัตวแพทย์ และการแจกจ่ายพันธุ์กล้าไม้ เมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย น้ำหมักชีวภาพต่างๆ พร้อมกับกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ที่จะคืนความสุขให้กับประชาชน

ทั้งนี้ทางกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก จึงขอเชิญชวนทุกท่าน เข้าร่วมกิจกรรม คืนความสุขสู่ประชาชน ในวันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม 2557 เวลา 09.00-15.00 น. บริเวณอ่างเก็บน้ำกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก (จาก ถ.เชียงใหม่ – แม่ริม เลี้ยวซ้ายเข้าปากทางวัดป่าดาราภิรมย์ อีก 500 เมตร) ตำบลแม่สา จังหวัดเชียงใหม่ โดยกิจกรรมดังกล่าวเข้าร่วมฟรีตลอดงาน



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/สมัชญา หน่อหล้า
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

ตม.เชียงใหม่เข้มงวด แรงงานผิดกฎหมาย จัดตั้งศูนย์ให้บริการ แรงงาน 3 สัญชาติ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งศูนย์ให้บริการ แรงงาน 3 สัญชาติ ส่วนแยกตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย ตามประกาศของ คสช.

วานนี้ (1 ก.ค. 57) เวลา 10.00 น. มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยร้อยตำรวจตรี ชาตรี ชราชิต รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ แถลงในวาระ ศูนย์ให้บริการ แรงงาน 3 สัญชาติ ส่วนแยกตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งศูนย์ให้บริการแรงงาน 3 สัญชาติ ส่วนแยกตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีอำนาจรับผิดชอบ ทั้งหมด 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งให้บริการตาม พรบ.คนเข้าเมือง 2522 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

ร้อยตำรวจตรี ชาตรี ชราชิต รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ห้บริการ แรงงาน 3 สัญชาติ ดังกล่าว เป็นการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นการปรับสถานะแรงงานที่เข้าเมืองผิดกฎหมายให้เป็นแรงงานที่เข้าเมืองและทำงานอย่างถูกกฎหมาย โดยทำการทำข้อตกลงสัญญาทวิภาคี (MOU) ระหว่างประเทศไทยกับพม่า ไทยกับลาว และไทยกับกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ติดต่อราชการ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546

ทั้งนี้ ร้อยตำรวจตรี ชาตรี ชราชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการให้บริการหน่วยบริการดังกล่าว มีการให้บริการต่างๆ ดังนี้ 1.ให้บริการเกี่ยวกับ การตรวจลงตรา (การต่อวีซ่า) ของบุคคลต่างด้าว 3 สัญชาติ พรบ.คนเข้าเมือง 2.ให้บริการการแจ้งการรายงานตัว การอยู่เกินกว่า 90 วัน ของบุคคลต่างด้าว ตามมาตรา 37 พรบ.คนเข้าเมือง 2522 ทั้งนี้ อย่างไรก็ตามหากผู้ใดมีลูกจ้างเป็นแรงงานต่างด้าว ให้แนะนำไปทำเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้ทำงานในประเทศได้อย่างถูกต้องและไม่ผิดกฎหมายต่อไป



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/สมัชญา หน่อหล้า
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

มรท. จัดงาน "ราชมงคลล้านนา หลอมจิต ร่วมใจ ห่วงใย ดูแล และ Care กัน"

มรท. จัดงาน "ราชมงคลล้านนา หลอมจิต ร่วมใจ ห่วงใย ดูแล และ Care กัน" ดึงแนวคิดหล่อเทียน รวมใจ สมานฉันท์ สร้างความสุขคืนแก่ เพื่อมุ่งเน้นให้คนในชาติเกิดความสมานฉันท์ และคืนความสุขให้กับประชาชน ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2557 ณ มณฑลพิธีโรงอาหาร มทร.ล้านนา

เมื่อวานนี้ (1 กรกฎาคม 2557) เวลา 10.00 น. นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียใหม่ โดยมีวาระ มรท. จัดงาน “ราชมงคลล้านนา หลอมจิต ร่วมใจ ห่วงใย ดูแล และ Care กัน” แถลงโดย อาจารย์อัคค์สัจจา ดวงสุภาสิญจ์ รองผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (มทร.ล้านนา) จัดงาน “ราชมงคลล้านนา หลอมจิต ร่วมใจ ห่วงใย ดูแล และ Care กัน” ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2557 ณ มณฑลพิธีโรงอาหาร มทร.ล้านนา ภายใต้แนวคิดหลอมจิตรวมใจคนในชาติ จากนโยบาย ของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มุ่งเน้นให้คนในชาติเกิดความสมานฉันท์ และคืนความสุขให้กับประชาชน

โดยใช้โอกาสในวันเข้าพรรษาที่จะมาถึงในวันที่ 12 กรกฎาคม 2557 ร่วมจัดงานสืบสานพิธีหล่อเทียนพรรษา เพื่อถวายไปยังวัดต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสะเก็ดพระอารามหลวง (จ.เชียงใหม่) วัดเจ็ดยอด (พระอารามหลวง) (จ.เชียงใหม่) วัดศรีโสดา พระอารามหลวง (จ.เชียงใหม่) วัดช้างเคี่ยง (จ.เชียงใหม่) วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร (จ.เชียงใหม่) วัดหนองทรายทอง (จ.เชียงราย) และมอบให้กับ มทร.ล้านนา 6 พื้นที่ ซึ่งการหล่อเทียนในครั้งนี้สื่อถึงการที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยฯ ร่วมใจกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวเพื่อหล่อเทียนพรรษาร่วมบูชาในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

รองผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงผลงานนิทรรศการ “สื่อประชาสัมพันธ์ ราชมงคลล้านนา” เป็นการนำเสนอสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ การแสดงผลงานนิทรรศการภาพถ่าย บริการตรวจสุขภาพ นิทรรศการโครงการต่างๆ เป็นกิจกรรมสร้างความสุขให้กับคนในมหาวิทยาลัยฯ



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร/คริษฐ์ ศุกรภาส
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

วีทีวี จัดโครงการ สมทบทุน ซื้อเสื้อยืด "เสื้อตัวนี้บ่แปง แต่แฮงด้วยน้ำใจ๋"

วีทีวี จัดโครงการ สมทบทุน ซื้อเสื้อยืด "เสื้อตัวนี้บ่แปง แต่แฮงด้วยน้ำใจ๋" เพื่อนำไปช่วยผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว บ้านสันมะแฟน ต.ธารทอง อ.พาน จ.เชียงราย

เมื่อวานนี้ (1 กรกฎาคม 2557) เวลา 10.00 น. นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียใหม่ โดยมีวาระ วีทีวี จัดโครงการ สมทบทุน ซื้อเสื้อยืด “เสื้อตัวนี้บ่แปง แต่แฮงด้วยน้ำใจ๋” แถลงโดย นายปฏิบัติ ยมเกิด ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการ ช่องวีทีวีชาแนล เปิดเผยว่า ทางบริษัท เวิลด์ เอนเตอร์เทนเมนท์เทเลวิชั่น จำกัด (วีทีวี เคเบิลทีวีของคนเชียงใหม่) ได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย ของวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ของการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่บริเวณ อ.พาน จ.เชียงราย และต่อเนื่องขึ้นไปยัง อ.แม่ลาว, อ.แม่สรวย จ.เชียงราย หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และได้เกิดอาฟเตอร์ชอคตามมามากกว่า 1,000 ครั้ง

โดยมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวกระจายตัวเป็นบริเวณกว้างครอบคลุมพื้นที่ อ.พาน และ อ.แม่ลาวเป็นส่วนใหญ่ ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านได้รับความเสียหายทั้งหลัง มีจำนวน 116 หลัง ได้รับความเสียหายบางส่วน มีจำนวน 8,463 หลัง อีกทั้งสถานที่ราชการ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล ซึ่งได้รับผลกระทบอีกเป็นจำนวนมาก

ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการ ช่องวีทีวีชาแนล กล่าวเพิ่มเติมว่า วีทีวี เคเบิลทีวีของคนเชียงใหม่ ได้มอบเงินบริจาคจำนวน 130,000 บาท ไปเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทั่วถึง จึงอาสาเป็นสื่อกลางในการขอรับบริจาคเงินและร่วมสมทบทุนซื้อเสื้อยืด “เสื้อตัวนี้บ่แปง แต่แฮงด้วยน้ำใจ๋” ราคาตัวละ 250 บาท โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในการซื้อวัสดุก่อสร้าง และซ่อมแซมบ้าน ณ บ้านสันมะแฟน ต.ธารทอง อ.พาน จ.เชียงราย ที่ยังรอการช่วยเหลืออยู่



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร/คริษฐ์ ศุกรภาส
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ เตือน อย่าหลงเชื่อข่าวลือกวาดล้างแรงงานต่างด้าว

กรมการจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ เตือน อย่าหลงเชื่อข่าวลือการกวาดล้างแรงงานต่างด้าว เนื่องจาก ทางกรมไม่มีนโยบายดังกล่าว

วานนี้ (2 ก.ค.57) เวลา 10.00 น. ได้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวาระการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว แถลงโดย นายประพันธ์ วิศิษฏจินดา จัดหางานจังหวัดตาก ปฏิบัติหน้าที่จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่

นายประพันธ์ วิศิษฏจินดา จัดหางานจังหวัดตาก ปฏิบัติหน้าที่จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากสถานการณ์ข่าวแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาตื่นตระหนกแห่เดินทางกลับประเทศ เนื่องจาก ได้ยินข่าวว่าทางทหารจะเข้ากวาดล้างจับกุมและผลักดันแรงงานต่างด้าวออกนอกประเทศ ในลักษณะการดำเนินการด้วยความรุนแรง โดยอ้างตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ครั้งที่ 59/2557 เพื่อแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวทั้งระบบนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก แรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่ที่เดินทางกลับประเทศนั้นเป็นแรงงานต่างด้าวกลุ่มที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเมื่อได้ทราบข่าวการจัดระบบแรงงานต่างด้าวจึงกลัวและเดินทางกลับประเทศ ส่วนรายงานต่างด้าวที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง ยังคงทำงานอยู่ในประเทศไทยได้ อีกทั้ง กรมการจัดหางานไม่มีนโยบายในการกวาดล้างแรงงานต่างด้าวแต่อย่างใด

สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานประกอบการ สามารถแจ้งบัญชีรายชื่อลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย โดยขอรับแบบบัญชีรายชื่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 หากมีข้อสงสัย ติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางานโทร 1694 หรือ สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ 0 5322 3855-6 ทุกวันและเวลาราชการ



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร/วิมลฉัตร สุดวิลัย
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

มทร.ล้านนา จัดโครงการ "ยกระดับผู้ประกอบการ OTOP ที่มีศักยภาพ ก้าวไปสู่ SMEs ปี 2557"

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดโครงการ "ยกระดับผู้ประกอบการ OTOP ที่มีศักยภาพ ก้าวไปสู่ SMEs ปี 2557" เพื่อให้ผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้พัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และเพื่อให้ดำเนินธุรกิจโดยใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม สามารถแข่งกันและก้าวไปสู่ SMEs ปี 2557

วานนี้ (1 กรกฎาคม 57) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยอาจารย์สืบสกุล ชื่นชม อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีล้านนา ภาคพายัพ เชียงใหม่และผู้จัดการโครงการ ได้เปิดเผยว่า ภายใต้สภาวการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางการพัฒนาประเทศ การมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดังกรอบแนวคิดแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 11 ที่ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมในกระบวนการพัฒนาประเทศ วิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางจึงมีความสำคัญต่อการสร้างรายได้ให้กับประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ได้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างโอกาสและพัฒนาความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างมีบูรณาการและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ดังนั้นสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา ภาคพายัพ เชียงใหม่ จึงได้จัดโครงการ “ยกระดับผู้ประกอบการ OTOP ที่มีศักยภาพ ก้าวไปสู่ SMEs ปี 2557” เพื่อพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้มีความสามารถนากรดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวางแผนการปรับปรุงรูปแบบการประกอบการเชิงธุรกิจ ตั้งแต่การบริหารจัดการ การผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ โครงการนี้ ได้คัดเลือกผู้ประกอบการ OTOP ทั้งสิ้น 17 ราย (จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ) แบ่งรายอบรมเชิงปฏิบัติ 3 วัน ระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2557 ณ ห้องลีลาวดี โรงแรม ฟูราม่า จังหวัดเชียงใหม่



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร /พัชรินทร์ คำนาศักดิ์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

กปภ.สาขาเชียงใหม่ เตรียมความพร้อมในการให้บริการน้ำประปาในช่วงฤดูฝน และเชิญชวนร่วมกิจกรรมโครงการ กปภ.รักษ์สิ่งแวดล้อม

การประปาส่วนภูมิภาค(ชั้นพิเศษ)สาขาเชียงใหม่ เตรียมพร้อมการใช้บริการน้ำประปาแก่ผู้ใช้น้ำและประชาชนในช่วงฤดูฝนประจำปี 2557 เพื่อให้ผู้ใช้น้ำและประชาชนได้ใช้น้ำอย่างเต็มที่ และเชิญร่วมโครงการ กปภ.รักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ใช้น้ำประปาและประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ

วานนี้ (1 กรกฎาคม 57) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายชนะ แพ่งพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยนายเกษม นวลดี หัวหน้างานลูกค้าสัมพันธ์การประปาส่วนภูมิภาค (ชั้นพิเศษ) สาขาเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการใช้บริการน้ำประปาแก่ผู้ใช้น้ำและประชาชนในช่วงฤดูฝนประจำปี 2557 ว่า กปภ.สาขาเชียงใหม่ ได้ประเมินสถานการณ์จากปีที่ผ่านมาในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือน พฤษภาคมถึงต้นเดือนตุลาคมของทุกปี จึงเตรียมความพร้อมการบริการน้ำประปาในพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 137 ตร.กม. รวม 8 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอสันกำแพง อำเภอสารภี อำเภอสันทราย อำเภอหางดง อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันป่าตอง และอำเภอแม่วาง ซึ่งให้บริการน้ำเป็นบางส่วนของพื้นที่ในแต่ละอำเภอและมีสถานีผลิตน้ำประปา รวม 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.สถานีผลิตน้ำป่าตัน มีกำลังผลิต 1,500 ลบ.ม./ชม. ใช้แหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำปิง 2.สถานีผลิตน้ำแม่กวง มีกำลังผลิต 2,200 ลบ.ม./ชม. ใช้แหล่งน้ำดิบจากเขื่อนแม่กวง 3.สถานีผลิตน้ำอุโมงค์ มีกำลังผลิต 1,250 ลบ.ม./ชม. ใช้แหล่งน้ำดิบจากคลองชลประทานแม่แตงและแม่น้ำปิง 4.สถานีผลิตน้ำหน่วยบริการแม่วาง มีกำลังผลิต 100 ลบ.ม./ชม. ใช้แหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำแม่วาง รวมกำลังผลิตทั้งหมด 5,050 ลบ.ม./ชม. นอกจากนี้ยังได้รับน้ำมาสนับสนุนจาก กปภ.ลำพูนและ กปภ.สาขาแม่ริม ทั้งนี้การจัดเตรียมรถบรรทุกน้ำสะอาดของ กปภ.ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ร้องขอความช่วยเหลือเนื่องจากน้ำไม่ไหลในกรณีท่อประปาแตกฉุกเฉิน ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว กปภ.สาขาเชียงใหม่ ได้ก่อสร้างสถานีผลิตน้ำขนาด 2,000 ลบ.ม./ชม. ณ บริเวณตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ และได้ก่อสร้างสถานีผลิตน้ำแบบ Mobile Plant ขนาด 500 ลบ.ม./ชม. บริเวณตำบลป่าแดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แหล่งน้ำดิบจากน้ำแม่ปิงในการผลิตน้ำประปา

นอกจากนี้ยังมีโครงการเพิ่มความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้ใช้น้ำในการใช้บริการชำระค่าน้ำและรับข้อมู,ข่าวสารอันอาจเป็นประโยชน์และน่าสนใจเกี่ยวกับภารกิจของ กปภ. ดังนี้ โครงการ “SMS สะดวกบวกความสุข สร้างความเข้าใจ” จะให้บริการข้อมูลข่าวสารต่างๆโดยส่ง SMS ผ่านโทรศัพท์มือถือทุกระบบ โครงการชำระค่าน้ำผ่านการหักบัญชีเงินฝากธนาคาร เป็นการชำระเงินค่าน้ำโดยหักผ่านบัญชีธนาคาร 13 สาขา ทั่วประเทศ โครงการชำระสะดวกบวกความสุข เป็นโครงการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้น้ำที่เลือกใช้บริการชำระเงินค่าน้ำประปาผ่านบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส

หัวหน้างานลูกค้าสัมพันธ์การประปาส่วนภูมิภาค (ชั้นพิเศษ) สาขาเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กปภ.สาขาเชียงใหม่ เชิญร่วมกิจกรรม กปภ.รักษ์สิ่งแวดล้อม ในโครงการ “กปภ.ปลูกป่า 1 มิเตอร์ 1 ต้นไม้” เพื่อให้ผู้ใช้น้ำประปาและประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำและได้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการปลูกฟื้นฟูป่าบริเวณพื้นที่ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำในการผลิตน้ำประปา ใน 3 พื้นที่ คือ พื้นที่ป่าขุนแม่กวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ป่าต้นน้ำทุ่งจ้อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ป่าขุนช่างเคี่ยน อุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย อำเมืองเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะลงพื้นที่ปลูกป่าในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ถึงปลายเดือนสิงหาคม 2557 จึงขอเชิญหน่วยงานภาคเอกชน องค์กรเอกชาน และประชาชน ผู้สนใจเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนกิจกรรมการปลูกป่าของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม งานลูกค้าสัมพันธ์ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงใหม่(ชั้นพิเศษ) หมายเลขโทรศัพท์ 053-233-477 ,233479 ,233480 ,234476 ต่อ 120 ,149 ในวันเวลาปฏิบัติงาน



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร /พัชรินทร์ คำนาศักดิ์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ปลูกป่าชุมชนเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

จังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ปลูกป่าชุมชนเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ตำบลบ้านแอ่น อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเสริมสร้างป่าชุมชนอย่างสมบูรณ์ในพื้นที่ต้นน้ำ ตลอดจนสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศโดยรวมในอนาคต

นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พลตรีสรายุทธ รังสี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๓๓ และนายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นประธานเปิดกิจกรรมปลูกป่าชุมชนปฐมฤกษ์ตามโครงการปลูกป่า กฟผ. เฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรรษา สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ตำบลบ้านแอ่น อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายชาญชัย ศรีเสถียร นายอำเภอฮอด นายชัชวาลย์ ปัญญา นายอำเภอดอยเต่า ตลอดจนส่วนราชการ ภาคีเครือข่ายองค์กรภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่อำเภอฮอดและอำเภอดอยเต่าเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก โดยการปลูกป่าชุมชนครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมตามโครงการปลูกป่า กฟผ. เฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรรษา สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ทาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. จัดทำขึ้นเพื่อย้อนรอย ๒๐ ปี โครงการปลูกป่าของ กฟผ. ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมปลูกป่าใน ๕ จังหวัดต้นน้ำ ๕ เขื่อน คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่ออุบลรัตน์ เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนรัชประภา แต่ละแห่งจะมีการจัดกิจกรรมบวชป่า สร้างฝาย ปลูกป่า และกิจกรรมภาคบันเทิงร่วมกับประชาชน ชุมชนในพื้นที่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำของเขื่อนทั้ง ๕ แ ห่ง และในส่วนของอำเภอฮอดและอำเภอดอยเต่าของจังหวัดเชียงใหม่ กฟผ. กำหนดพื้นที่ปลูกป่าชุมชนไว้บริเวณโดยรอบของทะเลสาบดอยเต่าและแผนการบำรุงรักษาไว้ระหว่างปี ๒๕๕๗ – ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๒๐๐ ไร่ โดยจะริ่มปลูกตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙ ปีละ ๔๐๐ ไร่ จากนั้นให้ชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการบำรุงรักษา เพื่อเป็นป่าชุมชนอย่างสมบูรณ์และชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากป่าอย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศโดยรวมในอนาคต


ข่าวโดย : วสันต์ มีจินดา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

คณะกรรมการคัดเลือกผลงานแนวคิดการออกแบบโครงการจัดสร้างข่วงหลวงเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ในรอบสุดท้าย

คณะกรรมการได้คัดเลือกผลงานแนวคิดการออกแบบโครงการจัดสร้างข่วงหลวงเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเชิญชวนรับฟังการนำเสนอผลงานจากผู้ออกแบบในรอบสุดท้าย และลงทะเบียนเลือกแบบประกวดที่ชื่นชอบในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้

วานนี้ (1 ก.ค.57) เวลา 10.00 น. ได้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวาระการประกวดออกแบบข่วงหลวงเวียงแก้ว แถลงโดยนางสุวารี วงศ์กองแก้ว หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมกองพัฒนาบ้านเมือง เทศบาลนครเชียงใหม่

นางสุวารี วงค์กองแก้ว หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาเมือง เทศบาลนครเชียงใหม่ กล่าวว่า ตามที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินโครงการจัดสร้างข่วงหลวงเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ให้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนได้ประโยชน์ร่วมกันจึงเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจและมีคุณสมบัติครบข้อกำหนด และมีคุณสมบัติครบตามข้อกำหนดได้ส่งผลงานเข้าประกวด มีผู้ส่งผลงาน จำนวน 15 ราย และทำการคัดเลือกผลงานจากแนวคิดการออกแบบ จำนวน 5 ราย เพื่อจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการประกวดแบบรอบสุดท้าย ทั้งนี้ ผลงานของผู้เข้าประกวดแบบทั้ง 5 ราย ได้จัดแสดงให้ผู้ที่สนใจเข้าชมแล้ว ระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน ถึง 3 กรกฎาคม 2557 ณ ห้องแสดงนิทรรศการชั้น 2 หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่(หลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์) ในวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น. (ปิดวันจันทร์)

หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาเมือง เทศบาลนครเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสในการเข้าร่วมพิจารณาตัดสินการประกวดแบบในครั้งนี้ จึงขอเชิญชวนเข้าร่วมฟังการนำเสนอผลงานจากผู้ออกแบบทั้ง 5 ผลงานในรอบสุดท้าย พร้อมลงทะเบียนเลือกแบบประกวดที่ชื่นชอบในวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557 ณ ห้องนิทรรศการ ชั้น 2 หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร/วิมลฉัตร สุดวิลัย
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

ประกันสังคมเปิดโครงการ ขยายความคุ้มครองฯ และสร้างความปรองดองให้คนในชาติ จังหวัดเชียงใหม่

สำนักงานประกันสังคม ร่วมกับหน่วยงานทหาร จัดโครงการขยายความคุ้มครองประกันสังคมมาตรา 40 ทางเลือกที่ 3 และการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ จังหวัดเชียงใหม่

วันนี้ (2 ก.ค. 57) เวลา 09.00 น. สำนักงานประกันสังคม จัดโครงการขยายความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา 40 เพื่อการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ จังหวัดเชียงใหม่ ณ อาคารศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพลส โรงแรมดิเอ็มเพรส อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ โดยนายสุริยะ ประสาทบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม และมีนางสุพัชรี มีครุฑ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เป็นประธานเปิดโครงการขยายความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา 40 เพื่อการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ มีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 1,200 คน

นางสุพัชรี มีครุฑ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า การจัดโครงการนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจการประกันสังคมมาตรา 40 ทางเลือกที่ 3 ให้แก่แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น แกนนำเครือข่ายประกันสังคมและนักศึกษา ได้เข้าใจหลักเกณฑ์เงื่อนไขการเกิดสิทธิพร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้ไปประชาสัมพันธ์ขยายความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา 40 ในพื้นที่ของตน ตลอดจนได้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ การเข้าร่วมเวทีการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ เพื่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2556 พบว่า ประเทศไทย มีผู้มีงานทำ จำนวน 39.1 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ จำนวน 25.1 ล้านคน หรือร้อยละ 64.2 ในส่วนของแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ประกอบอาชีพอิสระ จากข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2557 มีผู้มาประกันตนมาตรา 40 แล้ว จำนวน 1.78 ล้านคน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ถึง 40,000 กว่าคน ทางจังหวัดได้สนับสนุนให้ประชาชนที่ทำงานอิสระได้ประกันตนประเภทที่ 3 ทางกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีส่วนร่วม ในการช่วยประชาสัมพันธ์ให้พี่น้อง ได้ประกันตนตามมาตร 40 เพราะเป็นประโยชน์ในการเป็นสวัสดิการสังคมอีกด้านหนึ่ง เป็นประโยชน์ถึงครอบครัว ทางจังหวัดเชียงใหม่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุน กิจกรรมนี้ของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ดีมอบให้สำหรับพี่น้องประชาชน ทุกเดือน ตัวแทนเจ้าหน้าที่ประกันสังคม ก็จะไปพบปะพี่น้องเครือข่ายในทุกอำเภอ ทางสำนักงานประกันสังคม เปิดโอกาสให้คนอายุเกิน 60 ได้สามารถนำประกันถึงรัฐบาลสมทบเท่าหนึ่ง เชิญชวนผู้ที่ยังไม่ได้ทำต้องรีบมาทำ เชื่อว่าเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสาร เพื่อตระหนักถึงสวัสดิการที่รัฐสมทบให้ ก็จะมีผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โครงการขายายความคุ้มครองประกันสังคมมาตรา 40 เป็นโครงการที่เพิ่มสิทธิประโยชน์มาตรา 40 ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงแรงงานได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่มีแนวคิดให้มีการส่งเสริมการออมของแรงงานนอกระบบและผู้เกษียณอายุ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีอายุ 60 ปี สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้ในทุกทางเลือก และผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี สามารถสมัครได้เฉพาะทางเลือกที่ 3 เท่านั้น โดยผู้ประกันตน จ่ายเดือนละ 100 บาท รัฐบาลสมทบเดือนละ 100 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์การออมเงินไว้ใช้ในยามชราภาพอย่างเดียว พร้อมยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนที่เลือกทางเดิม สมารถเพิ่มทางเลือกได้ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุเกินกว่า 60 ปี สามารถสมัครได้ภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2557 นี้เท่านั้น

ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคม ได้มอบรางวัลจากโครงการชำระเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 39 หรือ 40 ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-eleven รางวัลทองคำ 50 สตางค์ ได้แก่ 1.นางสาวนงคราญ พินโพธิ์ ชำระสมทบมาตรา 40 2.นายผัด ประพฤติ ชำระสมทบมาตรา 39 และผู้ได้รับรางวัลพิเศษ Power Bank 1.นางสาววรรณา ผ่านสุวรรณ 2.นางบำเพ็ญ ดวงแกว การมอบเสื้อสามารถ เครือข่ายดาวรุ่งมุ่งประชาสัมพันธ์ มาตรา 40 1.นายประชัน ญี่นาง 2.นายยุทธ คำแปง 3.นายมนัส ตันสุภายน 4.นางสายชล เก่งกล้า 5.นายอเนก ชมชื่น 6.นายสมจิตร พันธ์คง 7.นายอาณัติ คลังวิเชียร 8.นายเจริญ ติ๊บใจ 9.นางแสงเดือน ปันศิริ 10.นายไพศาล พิโลคำ 11.นายวิเชียร ธนะขว้าง


ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/สมัชญา หน่อหล้า
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดทหารบกน่าน จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศล

ที่สโมสรนายทหารค่ายสุริยพงษ์ จังหวัดทหารบกน่าน พลตรี วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกน่าน นำเหล่าข้าราชการทหาร ครอบครัวของกำลังพล บริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องในวโรกาสวันพระราชสมภพ

จังหวัดทหารบกน่าน ร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดน่าน เปิดรับบริจาคโลหิต โดยนำกำลังพลของหน่วยทหารในพื้นที่ของจังหวัดน่าน อาทิ จังหวัดทหารบกน่าน กองพันทหารม้าที่ 10 กองพันทหารม้าที่ 15 กรมทหารพรานที่ 32 หน่วยพัฒนาเคลื่อน 31 และนักเรียนวิวัฒนพลเมืองของจังหวัดทหารบกน่าน จำนวน 658 นาย ร่วมบริจาคโลหิต โดยได้รับการบริจาคโลหิต ครั้งนี้ จำนวน 793,300 ชีชี ทั้งนี้เพื่อที่จะได้นำไปช่วยเหลือ ประชาชน ที่ตกทุกข์ได้ยาก และนำไปช่วยเหลือประชาชน ต่อไป เนื่องในวโรกาส มหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ครั้งนี้ จังหวัดทหารบกน่าน ได้จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ร่วมบริจาคโลหิต ได้มีส่วนร่วมในการทำความดี ให้กับประชาชนที่เจ็บป่วย ได้มีสุขภาพดี และเพื่อแสดงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงได้อุทิศเวลา และทุ่มเทพระวรกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อประโยชน์ความผาสุก และความเป็นอยู่ที่ดีของ เหล่าพสกนิกรชาวไทยและชาวจังหวัดน่าน มาโดยตลอด

ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดน่าน โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.เป็นประจำทุกปี ทรงทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากลำบากของราษฎร ทรงตระหนักในปัญหาสำคัญหลายประการ กล่าวคือ ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย และความเป็นอยู่ของประชาชน ทรงมีพระราชดำริในการช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการตรวจสารมะเร็ง ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าว มีความก้าวหน้ามากขึ้นตามลำดับ และได้พระราชทานความช่วยเหลือเหล่าพสกนิกรตลอดได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยม และติดตามผลการดำเนินงานในด้านต่างๆ และทรงได้พระราชทานของขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ถวายการปฏิบัติงาน รวมทั้งพระราชทานสิ่งของให้แก่ราษฎร และเด็กบุตรหลานของราษฎรในพื้นที่เป็นประจำทุกปี ด้วย



2 กรกฎาคม 2557 สมาน สุทำแปง/ภาพ/ข่าว

กรมทางหลวง เชิญชวนร่วมแสดงความคิดเห็นโครงการศึกษาฯและผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข 101 สายร้องกวาง – น่าน ตอน 2

กรมทางหลวง เชิญชวนประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นโครงการศึกษา ความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข 101 สายร้องกวาง – น่าน ตอน 2

นายกษิดิศ วัฒนศัพท์ วิศวกรใหญ่ด้านวางแผนและวางโครงการก่อสร้าง กรมทางหลวง เปิดเผยว่า ด้วยกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข 101 สายร้องกวาง – น่าน ตอน 2 โดยมอบหมายให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัทโชติจินดา มูเซล คอนซัลแตนท์ จำกัด /บริษัท ฟลัดเวย์ จำกัด และบริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการศึกษา และกรมทางหลวงได้เล็งเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มโครงการ จึงได้จัดให้มีการประชุมปฐมนิเทศโครงการ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2557 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เพื่อให้ประชาชน หน่วยงาน และองค์กรระดับต่างๆ ได้รับทราบความเป็นมา วัตถุประสงค์ และแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็น พร้อมข้อเสนอแนะในการศึกษาที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของโครงการ

ดังนั้น กรมทางหลวง จึงขอเชิญชวนหน่วยงาน องค์กร และประชาชน ได้เข้าร่วมประชุมปฐมนิเทศโครงการ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2557 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โดยพร้อมเพรียงกัน



รดา บุญยะกาญจน์/ภาพ ข่าว
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน

จังหวัดพะเยา จัดพิธีปฏิญาณตนและสวนสนาม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ

เมื่อวานนี้ (1 ก.ค.57) ที่บริเวณสนามกีฬา โรงเรียนพะเยาพิทยาคม อ.เมือง จ.พะเยา นายนิมิต วันไชยธนวงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานในพิธีทบทวนคำปฏิญาณ และสวนสนามลูกเสือ เนตรนารี เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ประจำปี 2557 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย อีกทั้งยังเป็นการแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ โดยมี ลูกเสือ เนตรนารี ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ และสมาชิกลูกเสือชาวบ้าน เข้าร่วมพิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนาม จำนวนกว่า 1,381 คน

สำหรับวันลูกเสือแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 1 กรกฎาคมของทุกปี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชองค์การโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากองเสือป่าขึ้นก่อน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 โดยฝีกอบรมพวกผู้ใหญ่ เช่นข้าราชการพลเรือน ให้เรียนรู้วิชาการด้านทหาร เพื่อเป็นกำลังสำรองในยามมีศึกสงคราม และเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ต่อประชาชนในยามสงบ เช่นช่วยปราบปรามโจรผู้ร้ายเป็นต้น จากนั้นอีกสองเดือนต่อมา คือ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย นับเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่จัดตั้งกองลูกเสือขึ้น ต่อจากประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยมีพระราชประสงค์ปลูกฝังให้เยาวชน รักชาติบ้านเมือง รักความสามัคคี มีความมานะอดทน และเสียสละเพื่อส่วนรวม


ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา

จังหวัดพะเยา จัดกิจกรรมเวทีปรองดองสมานฉันท์และกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ ตามโครงการราชทัณฑ์เชิงสมานฉันท์ระหว่างผู้ต้องขังกับครอบครัว

เมื่อวานนี้ (1 ก.ค.57) ที่เรือนจำจังหวัดพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา เรืออากาศตรีสุวิชา แก้วมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานเปิดกิจกรรมเวทีปรองดองสมานฉันท์และกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ ตามโครงการราชทัณฑ์เชิงสมานฉันท์ระหว่างผู้ต้องขังกับครอบครัว ซึ่งเรือนจำจังหวัดพะเยา จัดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวกับผู้ต้องขัง พร้อมทั้งปลูกฝังทัศนคติและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม ตลอดจนส่งเสริมและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของสมาชิกในครอบครัว โดยมีผู้ต้องขังเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนกว่า 75 คน แยกเป็นผู้ต้องขังชาย 54 คน และผู้ต้องขังหญิง 21 คน

นายไพฑูรย์ อำพันธ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดพะเยา กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เป็นมิติใหม่ของการนำเข้ามาเสริมกระบวนการยุติธรรมแบบดั้งเดิม ที่เน้นการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษเพื่อทดแทนความผิด แต่ขณะเดียวกันสังคมไม่ได้รับการชดเชยหรือเยียวยาแต่อย่างใด แต่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จะเน้นการทำให้ผู้กระทำผิดได้เกิดความสำนึกผิดและรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ด้วยการยอมรับผิดพร้อมกลับตัวกลับใจ ยอมที่จะชดเชยในทางใดทางหนึ่งแก่สังคม และในขณะเดียวกันผู้เสียหายหรือสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเยียวยาความเสียหายและให้อภัยต่อการกระทำผิด เพื่อให้ผู้กระทำผิดกลับสู่สังคมได้อย่างปกติ อีกทั้งยังเป็นการป้องปรามอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย



ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา

กลุ่มผู้เสียหายจากบริษัททัวร์พะเยา เข้าร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัด หลังถูกบริษัททัวร์ฯ โกงเงินกว่า 40 ล้าน และคดียังไม่มีความคืบหน้า

วันนี้ (2 ก.ค.57) นายสมาน ขันกฤษณ์ อายุ 72 ปี ชาว ต.แม่ต๋ำ อ.เมืองพะเยา แกนนำฯ พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่มเครือข่ายผู้เสียหายจากบริษัทนพิศทัวร์ และเจ้าหน้าที่ สคบ.จังหวัดพะเยา กว่า 20 คน เข้ายื่นหนังสือ ถึงนายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา โดยนายสมาน แกนนำฯ กล่าวว่า เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางบริษัท นพิศทัวร์ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 595 หมู่ 17 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมืองพะเยา ได้เสนอขายโปรแกรมทัวร์ไปประเทศญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ ในเอเชีย ให้กับลูกค้าหลายรายทั้งในจังหวัดพะเยาและต่างจังหวัดภาคเหนือตอนบน แต่กลับเบี้ยวลูกค้าไม่เดินทางตามวันที่กำหนด และเมื่อติดต่อเจ้าของก็ปรากฏว่าได้หลบหนีไป จนกระทั่งทางกลุ่มผู้เสียหาย 8 กลุ่ม ใน อ.เมืองพะเยาได้ร้องเรียนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองพะเยา เพื่อให้ติดตามเจ้าของทัวร์มาดำเนินคดีรวมถึงคืนเงินให้กับลูกทัวร์ ตั้งแต่เมื่อวันที่27 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา แต่เรื่องกลับเงียบหายไปจนกระทั่งวันนี้ ตนจึงได้พาตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายกว่า 20 คน พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ สคบ.จังหวัดพะเยา เข้ามาร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา รวมถึงพล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา และประธานสภาทนายความจังหวัดพะเยา เพื่อให้การช่วยเหลือและติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีเนื่องจากเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าของคดีเลย

นายสมาน แกนนำฯ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับผู้เสียหายนั้นมีอยู่จำนวนหลายร้อยคน โดยแยกออกเป็น 8 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งขณะนี้เจ้าของบริษัทดังกล่าวก็ยังหลบหนีอยู่ ทั้งนี้จนถึงปัจจุบันการดำเนินการด้านคดียังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งด้านในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดเพื่อให้มารับโทษตามกฎหมาย ทั้งคดีแพ่งและอาญา รวมถึงหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำกับโดยตรงยังไม่สามารถติดตามหรือดำเนินคดีในการแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มผู้เสียหายได้ และที่สำคัญผู้เสียหายแต่ละรายสูญเงินไปคนละ 50,000 – ถึงหลายแสนบาท รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาททั่วจังหวัดพะเยา

ต่อมานายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้สั่งการให้นายชาติชาย มีเกิดมูล ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานจังหวัด เข้ารับเรื่องพร้อมจะประสานสั่งการโดยอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในเรื่องของการเร่งการดำเนินคดีและการติดตามจับกุมตัว รวมถึงจะได้ประสานไปยังในส่วนของจังหวัดเชียงรายเพื่อให้ติดตามจับกุมตัวด้วย เนื่องจากบริษัทดังกล่าวได้มีการขายทัวร์ไปในหลายจังหวัดด้วย



ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา

สาสุขแพร่ เตือน ส้มตำถาดไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ แนะใช้ภาชนะกระเบื้องเคลือบสีขาวใส่อาหารดีที่สุด

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่ ออกตรวจร้านส้มตำถาดในจังหวัดแพร่ พบในเขตอำเภอเมืองแพร่จำนวน 5 แห่ง มีร้านจำหน่ายส้มตำถาด จึงได้แนะนำให้ใช้ภาชนะกระเบื้องเคลือบสีขาวใส่อาหาร และจัดให้มีภาชนะเช่นใบตอง หรือพลาสติก ใช้รองอาหารเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

นายแพทย์ปิติ  ทั้งไพศาล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวว่า ขณะนี้ "ส้มตำถาด” กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีการนำส้มตำมาจัดวางบนถาดสังกะสีเคลือบขนาดใหญ่ เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงต่าง ๆ จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยม ทำให้ร้านส้มตำหลาย ๆ แห่งต้องเพิ่มเมนูแห่งนี้ ขึ้นมารองรับความต้องการของลูกค้า

อย่างไรก็ตามถาดสังกะสีที่ร้านค้านำมาใส่อาหารนั้น เป็นถาดที่ไว้สำหรับใส่ของ หรือไว้รองภาชนะต่างๆ ไม่ได้มีไว้นำมาใส่อาหารโดยตรง ทำมาจากสังกะสีที่ถูกพ่น เคลือบสีและสารเคมีมาแล้ว มีทั้งโลหะหนักและสารตะกั่ว หากนำมาใส่อาหารที่มีรสเปรี้ยว รสเค็มมาก จะมีความเป็นกรดเป็นด่างสูง จะทำให้ถาดสังกะสีเกิดการกัดกร่อน ทำให้สารตะกั่วหลุดออกมาปนเปื้อนในอาหารได้ และนอกจากนี้แล้วเรื่องการทำความสะอาดถาด หากทีการขัดล้างอย่างแรง อาจจะทำให้สารเคมีที่เคลือบอยู่หลุดร่อนออกมาปนเปื้อนกับอาหารได้เช่นกัน

โดยพิษจากการสารตะกั่ว หากได้รับจะมีอาการเฉียบพลันและเรื้อรัง หลังจากตะกั่วดูดซึมจากลำไส้ จะเกิดการสะสมและเกิดเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะอาการของระบบทางเดินอาหารและระบบประสาทสมอง ซึ่งถ้ารุนแรงมากอาจจะหมดสติเสียชีวิตได้



ฉัตรชัย พวงขจร /ข่าว /พิมพ์   

แม่ฮ่องสอน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางแสวงบุญในมิติทางศาสนา

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางแสวงบุญในมิติทางศาสนา และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารเส้นทางแสวงบุญ ๓ วัดร่วมโครงการ

นายสุทธา สายวาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม กำหนดจัดกิจกรรมท่องเที่ยว “ช่วงหนึ่งของชีวิตที่งดงาม บนเส้นทางบุญทั่วไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางแสวงบุญในมิติทางศาสนา ประจำปี ๒๕๕๗ ซึ่งจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีวัดที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด ๓ วัด คือ วัดพระธาตุดอยกองมู วัดจองคำพระอารามหลวง ตำบลจองคำ อำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน และวัดต่อแพ ตำบลแม่เงา อำเภอขุนยวม จังหวัดได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารเส้นทางแสวงบุญจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปี ๒๕๕๗ เพื่อให้การจัดกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางแสวงบุญในมิติทางศาสนา ปี ๒๕๕๗ เป็นไปอย่างเรียบร้อย ซึ่งวัฒนธรรมจังหวัด ได้จัดประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ชี้แจงรายละเอียดโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นางศันสนีย์ พุกกานนท์ วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน แจ้งว่า กรมการศาสนา ได้จัดสรรงบประมาณให้วัดจัดกิจกรรมเส้นทางแสวงบุญ ตามโครงการดังกล่าว วัดละ ๔๐,๐๐๐ บาท โดยวัดจะแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาการท่องเที่ยว แสวงบุญ ประจำวัด เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาวัด ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แสวงบุญ ทั้ง ๗ ด้าน คือ ด้านสถานที่ของวัด บุคลากร การจัดกิจกรรมภายในวัด การจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยวในวัด การประชาสัมพันธ์ของวัด การประสานงาน การพัฒนาการท่องเที่ยว และสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยวในวัด โครงการนี้จะส่งผลให้มีการบริหารจัดการด้านพัฒนาวัดทั้งระบบ และสนับสนุนการท่องเที่ยวในมิติ ศาสนา อย่างมีประสิทธิภาพ



ข่าวโดย : อ่อนศรี ศรีอัมพร ทีมข่าว ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 ร่วมกับกองร้อย ตชด.ที่ 336 ตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอนยึดกระเทียมเถื่อน3 พันกิโลกรัม ลักลอบนำเข้าจากสหภาพเมียนมาร์

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 ร่วมกับกองร้อย ตชด.ที่ 336 ตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอนยึดกระเทียมเถื่อน3 พันกิโลกรัม ลักลอบนำเข้าจากสหภาพเมียนมาร์

บ่ายวันนี้ (2 ก.ค.) นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการ จังหวัดแม่ฮ่องสอนแถลงข่าวการตรวจยึดกระเทียมเถื่อน ที่ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีการลักลอบทยอยขนกระเทียมจากสหภาพเมียนมาร์ เข้ามาตามแนวชายแดน นำมาเก็บซ่อน ที่บ้านปางคอง หมู่ 12 ตำบลนาปู่ป้อม อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเตรียมขนถ่ายของใส่รถบรรทุก เพื่อไปจำหน่ายในจังหวัดอื่น เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 จึงได้ประสานกำลังจากกองร้อย ตชด.ที่ 336 ตำรวจภูธรปางมะผ้า ตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน เข้าตรวจสอบ พบกระเทียม บรรจุกระสอบน้ำหนักประมาณ 60 กิโลกรัม จำนวน 50 กระสอบ รวม 3 พันกิโลกรัม วางซุกซ่อนอยู่บริเวณศาลาท้ายหมู่บ้านปางคอง แต่ไม่พบเจ้าของ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันยึดของกลางทั้งหมด ส่งให้ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอนเพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

อนึ่ง ผู้ว่าราชการ จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในการปฏิบัติหน้าที่จับกุมการกระทำผิดกฏหมาย โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรตามแนวชายแดน เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรชาวแม่ฮ่องสอน


ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว ข่าว/ เวียงสอน ดอนแก้ว ภาพ
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จัดโครงการขยายผลความสำเร็จของโครงการพระราชดำริสู่ชุมชน

อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จัดโครงการขยายผลความสำเร็จของโครงการพระราชดำริสู่ชุมชน

เช้าวันนี้ ( 2 กรกฏาคม 2557)นายทรงทรัพย์ พิริยะคุณธร นายอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิด โครงการขยายผลความสำเร็จของโครงการพระราชดำริสู่ชุมชน ที่ศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปาย ตามพระราชดำริ ท่าโป่งแดง ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน โดยมีประชาชน จากตำบลห้วยโป่ง และตำบลผาบ่อง ร่วมโครงการกว่า 50 คน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นแบบอย่างเผยแพร่ความรู้ให้ชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ จนสามารถพัฒนาสู่ชุมชนเข้มแข็งต่อไป

กิจกรรมในงานประกอบด้วย การบรรยาย เรื่อง การพัฒนาอาชีพและความเป็นอยู่ที่ยังยืนสอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิม และเอกลักษณ์ชนเผ่าตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และความรู้เรื่องปรองดองสมานฉันท์ โดยพัฒนาชุมชนอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน /การบรรยาย เรื่อง การเลี้ยงสัตว์น้ำ โดย ประมงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน /การบรรยาย เรื่อง การเลี้ยงสัตว์และการดูแลรักษา โดยปศุสัตว์อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน /การบรรยาย เรื่อง การปลูกพืช ผลไม้ยืนต้น การปลูกผักสวนครัว โดยเกษตรอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน นอกจากนั้นมีการศึกษาดูงาน ฐานการเรียนรู้ด้าน การอนุรักษ์ดินและน้ำ /ฐานการเรียนรู้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน/ฐานการเรียนรู้ ด้านพืช กลุ่มอารักษ์ขาพืชสำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ฐานการเรียนรู้ ด้านปศุสัตว์ สถานีวิจัยและทดสอบพันธุ์สัตว์แม่ฮ่องสอน และ ฐานการเรียนรู้ ด้านประมงศูนย์วิจัยประมงน้ำจืดแม่ฮ่องสอน โครงการดังกล่าว จะมีไปจนถึงวันพรุ่งนี้( 3 กรกฏาคม 2557)



ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดโครงการฝึกอบรมการปรองดองสมานฉันท์สลายสี

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดโครงการฝึกอบรมการปรองดองสมานฉันท์สลายสี

วันนี้ (2 กรกฏาคม 2557) นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมการปรองดองสมานฉันท์สลายสี ที่ สวนอาหารร่มไม้ บ้านไม้แงะ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน โดยมีแกนนำทั้งสองกลุ่มในทุกอำเภอ จำนวน 50 คนร่วมโครงการ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีความคิดเห็นต่างกัน ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ ของกลุ่มมวลชนดังกล่าว อันจะนำไปสู่ความสงบสุขของประชาชนคนแม่ฮ่องสอนอย่างถาวร โดยไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีแบ่งกลุ่ม หรือมีการจัดกิจกรรมอันไม่พึงประสงค์

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ขอให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ทบทวน ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง หรือไม่ หลังจากนี้ต่อไป ขอให้หันหน้าเข้าพูดกัน ร่วมมือกันพัฒนาจังหวัดให้เจริญก้าวหน้าต่อไป


    ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว ข่าว/ เอกณรินทร์ ใจมะโน ภาพ
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษา จัดโครงการ อบรมดีเจเสียงใส ใส่ใจสุขภาพ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษา จัดโครงการ อบรมดีเจเสียงใส ใส่ใจสุขภาพ

เช้าวันนี้( 2 พฤษภาคม 2557 )นายแพทย์ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิด โครงการอบรม ดีเจเสียงใส ใส่ใจสุขภาพ ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนในพื้นที่อำเภอเมือง จำนวน 24 คน เข้าร่วมโครงการ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนมีความรู้ ทักษะการจัดรายการ และสร้างเครือข่ายเยาวชนนักสื่อสารด้านสุขภาพในสถานศึกษาให้มีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพ ในสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความรู้ เข้าใจช่องทางในการประชาสัมพันธ์ สามารถสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เช่น พูดคุย จัดเสียงตามสายในโรงเรียน ในชุมชน และมาร่วมจัดรายการวิทยุภาคประชาชน ได้ดี

กิจกรรมในงาน ประกอบด้วยการบรรยายเรื่อง การสื่อสารด้านสุขภาพ/ความรู้เบื้องต้นและเทคนิคการจัดรายการ/การประชาสัมพันธ์อย่างไรให้โดนใจ โดยนางสาวสมหมาย กล้าณรงค์ นักวิชาการสำนักงานสาธาณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน /เทคนิคการออกเสียง และการพูดจัดรายการ โดยนายเอกณรินทร์ ใจมะโน ผู้จัดรายการ สวท.แม่ฮ่องสอน และเคล็ดลับการเขียนข่าว ฝึกการเขียนบทรายการสร้างสุขภาพ โดยนายอิสระ อินพรหม ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษา

และในวันพรุ่งนี้( 3 กรกฏาคม 2557)ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด เตรียมฝึกทักษะการใช้อุปกรณ์ และฝึกจัดรายการ ที่ สวท.และ สวศ.แม่ฮ่องสอน


ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน ตรวจยึดกระเทียมนำเข้าจากพม่า

เจ้าหน้าที่ด่านศูลกากรแม่ฮ่องสอน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๗ แม่ฮ่องสอน ตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๓๓๖ ตำรวจภูธรปางมะผ้า ร่วมกันตรวจยึดกระเทียมลักลอบนำเข้าจากพม่า ๓,๐๐๐ กิโลกรัม มูลค่าประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ บาท

ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๗ จ.แม่ฮ่องสอน เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน ตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๓๓๖ แม่ฮ่องสอน ได้ร่วมกันนำของกลางกระทียมจำนวน ๕๐ กระสอบ น้ำหนัก ๓,๐๐๐ กิโลกรัม มาเก็บไว้ที่คลังสินค้าศุลกากรแม่ฮ่องสอน ที่ทางเจ้าหน้าสนธิกำลังตรวจยึดได้ที่ช่องทางบ้านปางคอง ต.นาปู่ป้อม อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน โดยนำมาซุกซ้อนไว้บริเวณศาลาท้ายหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๒ ต.นาปู่ป้อม อ.ปางมะผ้า จากการตรวจสอบไม่พบผู้แสดงตนเป็นเจ้าของ กระเทียมจำนวนดังกล่าวลักลอบนำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.๒๔๙๖ นายชัยฤทธิ์ แพทย์สมาน นายด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า “ ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน ได้ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจเข้มช่องทางการนำเข้า-ส่งออก ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ให้ตรวจสอบการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น กระเทียม หัวหอม ตามบริเวณชายแดน เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกพืชผลทางการเกษตรของไทย พ.อ.อำนาจ ศรีมาก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๗ จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๗ ได้รับรายงานจากสายข่าวว่า ได้มีการลักลอบนำเข้ากระเทียมจากสหภาพเมียร์มาร์ โดยทยอยลักลอบขนเข้ามาตามแนวชายแดนบริเวณบ้านปางคอง อ.ปางมะผ้า จึงได้ประสานหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าตรวจยึดกระเทียมดังกล่าว



ข่าวโดย : ดำเนิน ท้วมจอก ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน

ทหาร ตำรวจ ศุลกากร สนธิกำลังเข้าจับกุมกระเทียมเถื่อนลอบนำเข้าชายแดนแม่ฮ่องสอน

เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2557 นายชัยฤทธิ์ แพทย์สมาน นายด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยพันเอกชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมกระเทียมเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าชายแดนเพื่อจำหน่ายในพื้นที่ ซึ่งชุดปฏิบัติการได้รับรายงานจากสายข่าวว่ามีการลักลอบนำเข้ากระเทียมจากสหภาพเมียนมาร์ โดยขนเข้าตามแนวชายแดนบริเวณหมู่บ้านปางคอง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน นำมาเก็บซุกซ่อนไว้ในพื้นที่หมูบ้านและจะขนถ่ายใส่รถบรรทุกเพื่อส่งออกจำหน่าย เจ้าหน้าที่จึงได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นพบกระเทียมบรรจุกระสอบนำหนักประมาณ 60 กิโลกรัม จำนวน 50 กระสอบ ซ่อนอยู่บริเวณศาลาท้ายหมู่บ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบผู้แสดงตนเป็นเจ้าของ ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นของที่ลักลอบนำเข้าโดยผิดกฏหมาย ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ประกอบกับมาตรา 16,17 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร ฉบับที่ 9 พ.ศ.2482 เป็นของอันพึงต้องริบ เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางทั้งหมดส่งศุลกากรเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายชัยเทพ แพทย์สมาน นายด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า กระเทียมแห้งทั้งหมดจำนวน 50 กระสอบ รวมน้ำหนักประมาณ 3 พันกิโลกรัม มูลค่าประมาณ 1 แสน 5 หมื่นบาท จะต้องถูกริบทั้งหมดแล้วประกาศขายทอดตลาดตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นการนำเข้าโดยผิดกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่อเกษตรกรของไทย ทำให้กระเทียมมีราคาตกต่ำ และจะประสานงานกันทุกหน่วยขยายผลไปยังจุดอื่นเพื่อดำเนินการต่อไป

ข่าวโดย : สมาน ต้นใส / สวศ.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : สวศ. แม่ฮ่องสอน

ปชส.มส ตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดอง ฯ

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป

นางอ่อนศรี ศรีอัมพร ประชาสัมพันธ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ขึ้นที่สำนักงาน ฯ เพื่อเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้องไปสู่ประชาชน และให้คำปรึกษาการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นอกจากนี้แล้วสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความปรองดองในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน คณะทำงาน ฯ ดังกล่าว มีหน้าที่๑ วางแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์สร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย โดยประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของคณะทุกฝ่าย ๒ ติดตามข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานทั้งในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและภาพรวมของประเทศเพื่อเป็นข้อมูลการปฏิบัติงานด้านการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารมวลชน ๓ รวบรวมข้อมูลข่าวสาร และภาพภารกิจกรรมของคณะทำงานทุกฝ่ายที่ดำเนินงานตามแนวทางปฏิรูปประเทศไทย เพื่อเสนอ ผอ.กอ.รมน.จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ๔ ปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย



ข่าวโดย : ดำเนิน ท้วมจอก ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน

สาธารณสุขแม่ฮ่องสอนสร้างเครือข่าย ดี เจ เสียงใส ใส่ใจสุขภาพ

เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2557 ที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายแพทย์ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดการอบรมดีเจเสียงใส ใส่ใจสุขภาพ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปี 2557 โดยมี นายอิสระ อินทร์พรม ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวรายงาน ว่า เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจติดตามความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ต่างๆอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะพื้นที่แม่ฮ่องสอนการสื่อสารอาจไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ จึงต้องปรับกระบวนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ ซึ่งจะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายต่างๆ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพไปสู่ประชาชนการอบรมครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนมีความรู้ ทักษะการจัดรายการ และสร้างเครือข่ายเยาวชนนักสื่อสารด้านสุขภาพในสถานศึกษา โดยมีนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 และมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 คน เข้าร่วมอบรมระหว่างวันที่ 2 – 3 กรกฏาคม 2557

สำหรับการอบรมมีการบรรยายให้ความรู้ด้านสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับการจัดรายการ และการฝึกปฏิบัติการจัดรายการ โดยได้รับการสนับสนุนวิทยากร รวมถึงสถานที่ฝึกปฏิบัติจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดแม่ฮ่องสอน และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษาจังหวัดแม่ฮ่องสอนแม่ฮ่องสอน และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้คาดว่าจะทำให้มีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพ ในสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความรู้ เข้าใจช่องทางในการประชาสัมพันธ์ สามารถสื่อสารในรูปแบบต่างๆ จัดเสียงตามสายในโรงเรียน ในชุมชน และมาร่วมจัดรายการวิทยุภาคประชาชนได้ดี


ข่าวโดย : สมาน ต้นใส / สวศ.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : สวศ. แม่ฮ่องสอน

ผู้ว่าฯลำปาง นำทีม ผู้บริหารระดับสูง หารือสภากาแฟ มุ่งพัฒนาจังหวัด เพื่อก้าวเข้าสู่ "ลำปางนครแห่งความสุข"

ผู้ว่าฯลำปาง นำทีม ผู้บริหารระดับสูง หารือสภากาแฟ มุ่งพัฒนาจังหวัด เพื่อก้าวเข้าสู่ "ลำปางนครแห่งความสุข"

(2 ก.ค.57) เช้าวันนี้ ที่ศูนย์ข้อมูลอาเซียน ศาลากลาง จังหวัดลำปาง นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นประธานในการหารือ สภากาแฟ เพื่อหาแนวทางพัฒนาจังหวัด เพื่อก้าวเข้าสู่ “ลำปาง นครแห่งความสุข” โดยมี พลตรีอุกฤษ อากาศวิภาต ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ตำรวจ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารระดับสูงของจังหวัด ตลอดจน สื่อมวลชน ได้ร่วมหารือในครั้งนี้

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเรื่องปัญหาข้าว ของเกษตรกร รวมถึง จะมีนโยบายในการตรวจโรงสีในพื้นที่จังหวัดลำปาง และกำหนดจัดโครงการ อบรมชาวนายุคใหม่ เพื่อให้ลูกหลาน เกษตรกรที่มีความสนใจในการทำนา หรือ การเกษตร ได้สืบทอดอาชีพ เกษตรกรต่อไป นอกจากนี้ ได้กำชับให้โครงการชลประทานลำปาง ตรวจสอบ และรายงานผลเรื่องน้ำ เพื่อเตรียมรองรับการเพาะปลูกในช่วงปีหน้า

สำหรับการประชุม หารือสภากาแฟ ที่เป็นนโยบายของ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นั้น กำหนดจัดขึ้น ทุกวันพุธ ตั้งแต่ เวลา 08.00 – 09.00 น. เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ควบคู่กับการพัฒนาจังหวัดลำปางไปด้วย โดยในการหารือ แต่ละสัปดาห์นั้น จะมีการ ทักทาย และสนทนา เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่ AEC ด้วยเช่นกัน


ข่าวโดย : ปัณธวัฒน์ ทวีพรจิรภาคย์
    หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

สโมสรฟุตบอลลำปางเอฟซี เตรียมจัดงานแถลงผลการในลีคแรกของฤดูกาล 2014

นางสุนี สมมี ประธานสโมสรฟุตบอลลำปางเอฟซี จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยสมาคมฟุตบอลแห่งระเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กำหนดจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกภูมิภาค “ดิวิชั่น 2” ฤดูกาล 2014 โซนภาคเหนือ โดยเริ่มทำการแข่งขันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2557 และสิ้นสุดการแข่งขันระดับภาคในเดือนกันยายน 2557 เป็นประจำทุกปี สโมสรฟุตบอลลำปางเอฟซี เป็นสโมสรหนึ่งที่เข้าร่วมในการแข่งขัน และมีแนวโน้มในการพัฒนาการกีฬาที่ดี เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลของจังหวัดลำปาง ประกอบกับประชาชนชาวจังหวัดลำปางให้ความสนใจ และมีกองเชียร์ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

เนื่องด้วยการแข่งขันในลีคแรกของฤดูกาล 2014 ได้สิ้นสุดลงไปแล้วนั้น ทางสโมสรฟุตบอลลำปางเอฟซี มีความประสงค์ที่จะแถลงผลงานให้กับสื่อมวลชน และประชาชนชาวจังหวัดลำปางให้ทราบโดยทั่วกัน ดังนั้นทางสโมสรฟุตบอลลำปางเอฟซี จึงขอเรียนเชิญสื่อมวลชน และ ประชาชนทเข้ารับฟังการแถลงผลงานในวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 เวลา 10.00 น. ณ ร้านอาหารปลาเผาผักสด (ใกล้วัดม่อนกระทิง)


ข่าวโดย : ปัณธวัฒน์ ทวีพรจิรภาคย์
    หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

สมาคมรวมใจไทยลำปางจัด "โครงการสวนมนต์ปฏิบัติธรรมเข้าพรรษาสมานฉันท์ถวายเป็นพุทธบูชา"

นายมานพ ประโลมรัมย์ นายยกสมาคมรวมใจไทยลำปางเปิดเผยว่า สมาคมรวมใจไทยลำปางร่วมกับจังหวัดลำปางคณะสงฆ์จังหวัดลำปางรวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้เล็งเห็นว่าในภาวะที่บ้านเมืองกำลังต้องการความสมานฉันท์และความร่มเย็นช่วยดับร้อนปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งด้านการเมืองสังคมและเศรษฐกิจ จึงได้จัด “โครงการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเข้าพรรษาสมานฉันท์ถวายเป็นพุทธบูชา” โดยมีกิจกรรมสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัยและปฏิบัติธรรม ทุกวันพฤหัสบดี รวม 14 ครั้ง เริ่มวันพฤหัสบดี ที่ 3 กรกฎาคม – 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.00 – 19.30 น. ณ หอประชุมฝ้ายคำ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครลำปาง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อส่งเสริมความอยู่เย็นเป็นสุข สร้างบุญกุศลและสร้างความรักสมัครสมานสามัคคี อันจะนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ในที่สุด

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ประสานงานจังหวัดลำปาง 177 หมู่ 12 ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โทร. 091-9924814 , 054-313128


ข่าวโดย : พัชรียา เขียวถา นศ.ฝึกประสบการณ์ มร.ลป
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง

จังหวัดลำพูน ชี้แจงนโยบายการบริหารราชการด้านการพัฒนาระบบราชการ ของ คสช. ต่อประชาชนชาวลำพูน

จังหวัดลำพูนชี้งแจงนโยบายการบริหารราชการด้านการพัฒนาระบบราชการ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อประชาชนชาวจังหวัดลำพูน

นายอาณัติ วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนชาวจังหวัดลำพูน ถึงนโยบายในการบริหารราชการด้านการพัฒนาระบบราชการ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า คสช. จะทำให้ข้าราชการทุกคนมีความพึงพอใจ มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี มีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงเกียรติ เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อุทิศตัวเพื่อทำหน้าที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อประโยชน์สุขของสังคมโดยรวม และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ คสช. ยังมีนโยบายส่งเสริมระบบคุณธรรมในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายบุคลากรภาครัฐ โดยปรับปรุงแก้ไข กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง คำชี้แจง ให้ทันสมัยและให้มีระบบป้องกันการคัดสรรแต่งตั้งในระบบอุปถัมภ์ที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือผู้ใดเข้ามาครอบงำข้าราชการหรือระบบราชการ รวมทั้งให้ข้าราชการการเมือง บริหารราชการโดยไม่ก้าวก่ายหรือมีอิทธิพลกับข้าราชการประจำอีกต่อไป ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระเบียบวินัยทางการปกครองบังคับบัญชาที่ถูกต้องชอบธรรม



ข่าวโดย : ศักดิ์สิทธิ์ กิตินันทน์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

จังหวัดลำพูน สำรวจสถานการณ์ด้านแรงงาน ประชากรผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป พบส่วนใหญ่มีงานทำ จำนวน 269,649 คน คิดเป็นร้อยละ 76.0

นายชิตชัย สมอุปฮาด แรงงานจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า สำนักงานแรงงานจังหวัดลำพูน จัดสำรวจสถานการณ์ด้านแรงงานประจำเดือน พฤษภาคม 2557 ประชากรผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 354,721 คน พบ เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน 269,649 คน คิดเป็นร้อยละ 76.0 และ ผู้ที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน 85,072 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีงานทำ จำนวน 267, 919 คน คิดเป็นร้อยละ 75.5

ผลการสำรวจ พบว่า ประชากรผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 354,721 คน แบ่งเป็นเพศชาย 170,924 คน เพศหญิง 183,797 คน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงานจำนวน 269,649 คน คิดเป็นร้อยละ 76.0 เป็นผู้มีงานทำจำนวน 267,919 คน คิดเป็นร้อยละ 75.5 เป็นผู้ว่างงานจำนวน 1,404 คน คิดเป็นร้อยละ 0.4 ส่วนผู้ที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน 85,072 คน คิดเป็นร้อยละ 24.0 ทำงานบ้านจำนวน 18,674 คน คิดเป็นร้อยละ 5.3 เรียนหนังสือจำนวน 21,720 คน คิดเป็นร้อยละ 6.1 และอื่นๆจำนวน 44,678 คิดเป็นร้อยละ 12.6

สำหรับผู้ที่มีงานทำ พบว่า ทำงานในด้านภาคเกษตรกรรม จำนวน 98,219 คน คิดเป็นร้อยละ 36.7 และทำงานนอกภาคเกษตรกรรม จำนวน 169,701 คน คิดเป็นร้อยละ 63.3 ของผู้ที่ทำงานทั้งหมด


ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดลำพูน ฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผลพบว่า ผู้เข้ารับการฝึกส่วนใหญ่ผ่านการฝึกและการทดสอบ

นางอรทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดลำพูน เผยว่า ในเดือนพฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดลำพูน ได้พัฒนาฝีมือแรงงานในด้านต่างๆ ทั้งการฝึกเตรียมเข้าทำงาน การฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน และการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อให้แรงงานในจังหวัดลำพูน มีคุณภาพ มากยิ่งขึ้น

สำหรับผล การฝึกเตรียมเข้าทำงาน มีผู้เข้าร่วมจำนวน 8 คน ผ่านการฝึกจำนวน 6 คน ( ร้อยละ 75.0 ) ผู้เข้าร่วมการฝึกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ การฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน มีผู้เข้าร่วมการฝึกจำนวน 413 คน ผ่านการฝึก 375 คน ( ร้อยละ 90.80 ) จำแนกกลุ่มอาชีพ ผู้เข้ารับการฝึก เป็นธุรกิจและบริการ จำนวน 220 คน ( ร้อยละ 53.27 ) ช่างเครื่องกล จำนวน 129 คน ( ร้อยละ 31.23 ) และช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ จำนวน 28 คน ( ร้อยละ 6.78 )

ส่วน การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานมีผู้เข้ารับการทดสอบ จำนวน 13 คน ผ่านการทดสอบทุกคน โดยจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า ผู้เข้ารับการทดสอบส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์


ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

ผู้ว่าฯ ลำพูน สั่งการ สคบ. ตรวจสอบและควบคุมการโฆษณาเท็จ หลอกขายเครื่องรับโทรทัศน์ระบบดิจิตอล

ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน สั่งการให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัด ตรวจสอบและควบคุมการโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดและได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล

นายสุวรรณ กล่าวสุนทร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า ในปัจจุบันพบว่ามีร้านค้าหรือห้างร้านบางแห่ง โฆษณาประชาสัมพันธ์การจำหน่ายเครื่องรับโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิตอล โดยปกปิดข้อมูลบางส่วนให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเครื่องรับโทรทัศน์ดังกล่าวสามารถรับชมบริการในระบบดิจิตอลได้ โดยเฉพาะเครื่องรับโทรทัศน์ในระบบแอนะล็อกมีการโฆษณาว่าเป็นดิจิตอลทีวี สามารถรับชมบริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลได้ โดยไม่มีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม หรืออธิบายเงื่อนไขหรือหามายเหตุเพิ่มเติมว่า จะต้องซื้ออุปกรณ์กล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล (Set Top Box) เพื่อติดตั้งอีก หรือบางรายมีการนำเสนอข้อความที่เป็นรายละเอียดดังกล่าว แต่ใช้ตัวอักษรที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งผู้บริโภคไม่สามารถอ่านหรือมองเห็นได้ชัดเจน การกระทำดังกล่าวจึงอาจเป็นการใช้ข้อความโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง หรืออาจจะก่อให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒

จังหวัดลำพูนจึงขอแจ้งเตือนประชาชนผู้บริโภค ให้เพิ่มความละเอียดรอบคอบ ในการพิจารณาซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล โดยสอบถามข้อมูลรายละเอียดของสินค้าจากผู้จำหน่ายให้ครบถ้วน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัด ตรวจสอบและควบคุมการโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลดังกล่าวแล้ว



ข่าวโดย : ศักดิ์สิทธิ์ กิตินันทน์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

จังหวัดลำพูน จัดพิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี รักษา และสืบทอดประเพณีที่สืบต่อกันมา

บ่ายวันนี้ ( 2 กรกฎาคม 2557 ) ที่ บริเวณด้านเหนือพระวิหารหลวง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน และสถานศึกษาต่างๆ ได้ร่วมกันจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา โดยมี ดร.นิรันดร์ ด่านไพบูลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

การจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา ครั้งนี้ นับเป็นศูนย์กลางในการหล่อเทียน เพื่อนำไปการถวายแก่วัดต่างๆ มุ่งเพื่อเสริมสร้างความสามัคคี และเพื่ออนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ของพุทธศาสนิกชนที่สืบทอดมาแต่อดีต ซึ่งในอดีตนั้นการหล่อเทียนเริ่มมาจากในฤดูฝน หรือ ฤดูกาลเข้าพรรษา ที่ กำหนดให้พระภิกษุต้องอยู่จำพรรษา ณ วัดใดวัดหนึ่ง เป็นระยะเวลา 3 เดือน และสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าค่ำ จึงเป็นเหตุจำเป็นต้องใช้เทียนสำหรับจุดบูชาให้ครบตลอดพรรษา จึงทำให้ พุทธศาสนิกชน ร่วมกันหล่อเทียนสำหรับถวายให้พระภิกษุ จุดบูชาจนครบกำหนดเวลาเข้าพรรษา

คตินิยมของพุทธศาสนิกชน เชื่อว่าการถวายเทียนพรรษา เป็นการบำเพ็ญกุศลอย่างหนึ่ง ของการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะทำให้เกิดแสงสว่างที่ปัญญา


ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

ผู้ว่าฯ ลำพูน สั่งการให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามคำสั่ง คสช. ในการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์

ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน สั่งการให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์โดยเคร่งครัด

นายสุวรรณ กล่าวสุนทร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งที่ ๕๙/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว (กนร.) และคำสั่งที่ ๖๐/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว ซึ่งต่อมา คสช. ได้มีมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ตามประกาศฉบับที่ ๖๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ เรื่องมาตรการชั่วคราวในการดำเนินการต่อแรงงานต่างด้าว และประกาศฉบับที่ ๖๘/๒๕๕๗ เรื่องมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ระยะที่ ๑ เป็นการชั่วคราว

จังหวัดลำพูนจึงขอให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์โดยเคร่งครัด รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ซึ่งไม่มีนโยบายที่จะจับกุมกวาดล้างแรงงานต่างด้าว แต่จะแก้ไขเรื่องนี้ให้เป็นระบบ มีความยั่งยืน ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรม ปราศจากข้อกล่าวหาเรื่องการค้ามนุษย์ รวมทั้งให้เกิดความรับรู้เรื่องความร่วมมือ ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลกอย่างเป็นมิตรที่ดีต่อกัน

นอกจากนี้ ให้เพิ่มมาตรการสืบสวนติดตามผู้กระทำความผิด แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนทั่วไป เพื่อดำเนินการลงโทษอย่างเฉียบขาด สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ หากพบว่าปล่อยปะละเลย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิด ให้ดำเนินการทั้งทางวินัยและคดีอาญาอย่างเคร่งครัดโดยทันที



ข่าวโดย : ศักดิ์สิทธิ์ กิตินันทน์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำพูน จัดการฝึกอบรมเสริมสร้างศักยภาพชุมชนด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี พ.ศ. 2557

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำพูน ร่วมกับ เทศบาลตำบลป่าไผ่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน จัดฝึกอบรมเสริมสร้างศักยภาพชุมชนด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตั้งแต่วันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2557 ที่ ห้องประชุมเทศบาลตำบลป่าไผ่

บ่ายวันนี้ (2 ก.ค. 2557) ที่ ห้องประชุมเทศบาลตำบลป่าไผ่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำพูน ร่วมกับ เทศบาลตำบลป่าไผ่ ได้จัดฝึกอบรมเสริมสร้างศักยภาพชุมชนด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้น โดยมีนายจำลอง เณรแย้ม ปลัดจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดการอบรมฯ ทั้งนี้เพื่อมุ่งส่งเสริมให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมวางแผน และร่วมดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงภัย ป้องกันและลดความเสียหายจากสาธารณภัย ตลอดจนสามารถฟื้นฟูสภาพความเสียหายให้กลับสู่สภาวะปกติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยได้คัดเลือกบ้านป่าจี้ หมู่ที่ 3, บ้านชีวิตใหม่ หมู่ที่ 5 และบ้านผาหนาม หมู่ที่ 12 ตำบลป่าไผ่ อำเภอลี้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เข้าร่วมฝึกอบรมฯ หมู่บ้านละ 20 คน รวม 60 คน

การฝึกอบรมครั้งนี้ คาดหมายว่า จะช่วยทำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยมีความเข้มแข็งที่จะช่วยกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดจากภัยธรรมชาติต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ข่าวโดย : อุไรวรรณ ปิงแก้ว
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

ภาคเหนือวันนี้ มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1-2 เมตร

สำหรับภาคเหนือวันนี้ (2 ก.ค. 2557) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แพร่ ตาก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


ข่าวโดย : อุไรวรรณ ปิงแก้ว
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

คณะสงฆ์จังหวัดลำพูน เตรียมดำเนินการ "หมู่บ้านรักษาศีล 5" เพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์

พระราชปัญญาโมลี เจ้าคณะจังหวัดลำพูน กล่าวว่า จากการที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้ดำริเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี และความสุขของประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นั้น

จังหวัดลำพูน ร่วมกับคณะสงฆ์ก็ได้เตรียมดำเนินงาน “หมู่บ้านรักษาศีล 5” ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกหมู่บ้าน / ชุมชน ยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนดี มีศีล 5 ประจำใจ ซึ่งจะช่วยทำให้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็นอย่างยั่งยืน ในการนี้ได้กำหนดจัดประชุมหารือคณะกรรมการดำเนินงานในวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 เวลา 13.00 น. ที่ หอประชุมอาทิตยราช โรงเรียนเมธีวุฒิกร วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร



ข่าวโดย : อุไรวรรณ ปิงแก้ว
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

กลุ่มเกษตรกร ใน จ.ลำพูน ที่ถูกดำเนิน คดี กรณี ทุจริตลำไย ปี 2547 ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือ ต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) เพื่อ ขอความเป็นธรรม ให้แก่ผู้ที่ไม่มี ส่วนรู้เห็น ในการกระทำผิด

กลุ่มเกษตรกร ใน จังหวัดลำพูน ที่ถูกดำเนินคดี กรณี ทุจริต ใน โครงการ แทรกแซง ราคาลำไย ปี 2547รวมตัว ยื่นหนังสือ ขอความช่วยเหลือ จาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช. ) ผ่านทาง กองกำลังรักษาความสงบ กองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1 จ.ลำพูน ในการให้ความเป็นธรรม แก่ ผู้ไม่มีส่วนรู้เห็น รวมถึง ให้ความช่วยเหลือ ในการ พิจารณาลดโทษ ในกรณี ที่ ผู้กระทำผิด รับสารภาพ

วันนี้ ( 2 กรกฎาคม 2557 ) ที่ ศาลาประชาคม จังหวัดลำพูน ซึ่ง เป็นที่ทำการ ของ กองกำลังรักษาความสงบ เรียบร้อย กองพล ทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1 กลุ่มเกษตรกร ใน จังหวัดลำพูน ที่ถูกดำเนินคดี กรณี ทุจริต โครงการ แทรกแซง ราคาลำไย ปี 2547 นำโดย นายหลี จี้ฟู พร้อมกับ กลุ่มเกษตร จำนวน 100คน เดินทาง มาขอความช่วยเหลือ ในการ ให้ความเป็นธรรม จาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช. ) ซึ่ง ได้มีการขอความช่วยเหลือไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อ วันที่ 2 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยผู้ ที่ถูกดำเนินคดี และ จะต้องจ่ายค่าปรับ ในเป็นจำนวนมาก กรณี ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่ง ค่าปรับที่แต่ละรายจะต้องจ่ายนั้น มีมูลค่า ค่อนข้างมากเกินกว่า ที่จะจ่ายได้ กลุ่มเกษตรกร จึงได้ ร่าง หนังสือขอความช่วยเหลือ ให้ทบทวน การสอบสวนการกระทำผิด ของเกษตรกร กำนัน ผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง , ขอให้มีการลดหย่อน วงเงินประกัน ให้แก่ ผู้กระทำผิดที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ การเดินทางมา ในวันนี้ ( 2 กรกฎาคม 2557 ) จึงเป็นการขอ ข้อมูลความคืบหน้า ในการให้ความช่วยเหลือ

โดย พันตรีรังสรรค์ ฝังมณี นายทหาร ประชาสัมพันธ์ ฝ่ายประสาน งานกิจการพลเรือน กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1 ก็ได้ มาพบกับ กลุ่มเกษตรกร พร้อมกับ กล่าวว่า เอกสาร การขอความช่วยเหลือ นั้น ได้ มีการเสนอเรื่องไปยัง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช. ) เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน การพิจารณา ให้ความช่วยเหลือ แก่ เกษตรกร ที่ ถูกดำเนินคดี ซึ่ง คสช. พร้อมจะให้ ความเป็นธรรม กับ ทุกฝ่ายอย่างเต็มที่

สำหรับ คดี ทุจริต ลำไย เกิดขึ้น เมื่อ ปี 2547 โดย รัฐบาล ได้ มีการแทรกแซง ราคาลำไย ที่มีราคาตกต่ำ โดย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ( อ.ต.ก. ) ได้รับซื้อ ลำไยสด จาก เกษตรกร แล้วให้ บริษัท ป.เฮง แปรรูปเป็นลำไย อบแห้ง แต่ บริษัท ส่งลำไยอบแห้ง ให้ไม่ครบตามจำนวน จึงมีการ ฟ้องร้อง เรียกค่า ความเสียหาย ทั้ง ทางแพ่ง และ อาญา ซึ่ง เกษตรกร ในจังหวัดลำพูน หลายรายได้รับผลกระทบ และ ไม่สามารถ จ่ายค่าเสียหายได้ ทำให้คดีความยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน


ข่าวโดย : เชาวรินทร์ สอนปาละ
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

จังหวัดอุตรดิตถ์ ประชุมชี้แจงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินและการมอบนโยบายการปฏิบัติการราชการตามแนวทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แก่ผู้นำท้องที่ และผู้นำท้องถิ่น ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมรับฟัง ๑,๓๑๕ คน

จังหวัดอุตรดิตถ์ ประชุมชี้แจงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินและการมอบนโยบายการปฏิบัติการราชการตามแนวทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แก่ผู้นำท้องที่ และผู้นำท้องถิ่น ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมรับฟัง ๑,๓๑๕ คน

วันนี้ (๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗) ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ กองทัพภาคที่ ๓ ร่วมกับจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดประชุมชี้แจงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินและการมอบนโยบายการปฏิบัติราชการตามแนวทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประธานสภาและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑,๓๑๕ คน โดยมี พลโท นิวัติชัย ถนอมธรรม หัวหน้าสำนักงานศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๓ (หน.ศปป.กอ.รมน.ภาค ๓) เป็นผู้แทนแม่ทัพภาคที่ ๓ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมฯและให้โอกวาทการเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติแก่ผู้เข้าร่วมประชุม เน้นประเด็นสำคัญคือในการขจัดความขัดแย้งให้สังคมกับมาร่วมมือกันโดยยึดสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และความสงบสุขปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งการปราบปรามอาชญากรรม/อาวุธสงคราม บ่อนการพนัน สำหรับแนวทางในการบริหารประเทศได้กำหนดเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะแรก การบริหารราชการตามปกติ รวมถึงกฎหมายพิเศษเพื่อขับเคลื่อนงาน ระยะสองการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อเข้าสู่การมีธรรมนูญปกครอง สภาปฏิรูป สภานิติบัญญัติ และระยะที่ ๓ เป็นเรื่องของการนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบด้วยการเลือกตั้ง โดยความสำเร็จในการปฏิรูปประเทศเพื่อให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ซึ่งเป็นผู้นำสำคัญในระดับพื้นที่หมู่บ้าน ชุมชน รู้ปัญหาและความต้องการของราษฎรเป็นอย่างดี

ในโอกาสนี้มี นายชัช กิตตินภดล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงานแผนปรองดองสมานฉันท์จังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมนี้ยังมี พลตรีธัญญพรหม อัศวจินดา ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์/ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์, พ.อ.บุญประสิทธิ์ มีสอาด รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดอุตรดิตถ์ และหัวหน้าส่วนราชการร่วมต้อนรับและรับฟังคำชี้แจง

ทั้งนี้ด้าน พลตรี ธัญญพรหม อัศวจินดา ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ชี้แจงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดิน และการมอบนโยบายการปฏิบัติราชการตามแนวทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แก่ผู้ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งขณะนี้จะเห็นบรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์ดุจญาติมิตรเกิดขึ้นในหมู่บ้าน/ชุมชนทุกแห่ง และเห็นรอยยิ้มของทุกคนที่ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน



ข่าว/สุรีย์ แสงทอง สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์

จังหวัดอุตรดิตถ์ กำหนดจัดเวทีเสวนาเพื่อค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป ระดับจังหวัด ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป้าหมายสร้างความความปรองดอง

จังหวัดอุตรดิตถ์ กำหนดจัดเวทีเสวนาเพื่อค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป ระดับจังหวัด ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป้าหมายสร้างความความปรองดอง

นายชัช กิตตินภดล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ แจ้งว่า ตามที่ คสช. มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) มีเป้าหมายเพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดอง ลดความขัดแย้งในสังคม สลายสีเสื้อให้กลับมาร่วมมือ โดยยึดหลักสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ เก็บรวบรวมข้อมูลสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนและ แนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยในอนาคต ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน/ชุมชน โดยในระยะเร่งด่วนได้จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ทุกระดับ ระดับตำบล ๖๗ ศูนย์ ระดับหมู่บ้าน ๖๑๓ ศูนย์ ระดับเทศบาลตำบล ๒๕ แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล ๕๓ ศูนย์ รวมทั้งสิ้น ๗๖๙ ศูนย์ และจัดเวทีเสวนาเพื่อค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาตั้งแต่ระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอและจังหวัด ซึ่งจังหวัดอุตรดิตถ์กำหนดดำเนินการจัดเวทีเสวนาเพื่อค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป ระดับจังหวัด ในวันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๐.๐๐ น.   ณ ห้องประชุมโรงแรมสีหราช อำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์          โดยมีกรอบคำถามในการค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขของชุมชนเพื่อการปฏิรูปใน ๘ กรอบ ตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แก่ ๑.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ๒.ด้านเศรษฐกิจ ๓.ด้านสุขภาพอนามัย ๔. ด้านความรู้และการศึกษา ๕. ด้านสังคมและความเข้มแข็งของชุมชน ๖. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๗. ด้านความมั่นคงและความปลอดภัย ๘. ด้านการเมืองและการบริหารราชการ



ข่าว/สุรีย์ แสงทอง สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์

รอง ผวจ.กำแพงเพชร ประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2557 ที่ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกำแพงเพชร นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อเป็นการติดตามผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ของจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งปัจจุบันยังคงมีปัญหาการค้ามนุษย์เกิดขึ้น เนื่องจากจังหวัดกำแพงเพชรยังคงมีการใช้แรงงานต่างด้าวอยู่ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์มีทั้งชาวไทยและต่างชาติในลักษณะที่ถูกล่อลวง จังหวัดกำแพงเพชรจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำงานแบบบูรณาการ การปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นหนึ่งใน การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกได้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และถือเป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะเมื่อไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC มิเช่นนั้น อาจจะเป็นอุปสรรคในการทำการค้ากับต่างประเทศได้

ทั้งนี้ การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์นั้น ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับมาตรการและแนวทางการปฏิบัติของแผนชาติ นอกจากนี้ ยังต้องมีการเฝ้าระวังโดยพัฒนากลไกความร่วมมือในระดับพื้นที่ชุมชนในจังหวัดกำแพงเพชร ให้ช่วยกันเฝ้าระวังให้ปัญหาดังกล่าวเบาบางลง และหมดปัญหาไปในที่สุด


นิพนธ์ รอดทรัพย์ / ข่าว
ผู้ตรวจ นายรวีโรจน์ ส่องศรี ประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร

จังหวัดเพชรบูรณ์ร่วมกับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารม้าที่ 1 จัดงานคืนความสุขให้ประเทศชาติ และประชาชนที่อำเภอวิเชียรบุรี

จังหวัดเพชรบูรณ์ร่วมกับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารม้าที่ 1 จัดงานคืนความสุขให้ประเทศชาติ และประชาชนที่อำเภอวิเชียรบุรี

วันนี้ (2 ก.ค.57) เวลา 10.00 น. ที่บริเวณหน้าศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ พลโทสาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นประธานเปิดงานคืนความสุขให้ประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน

โดยจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมกับ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองพลทหารม้าที่ 1 ตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอวิเชียรบุรี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และทุกภาคส่วนในจังหวัด ได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองและสมานฉันท์ของประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างยั่งยืนนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ

โดย พลตรีบรรเจิด ฉางปูนทอง ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความเรียบร้อยกองพลทหารม้าที่ 1 พร้อมด้วย นายคณีธิป บุณยเกตุ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นายธนพล จันทรมินิ นายอำเภอวิเชียรบุรี และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในพิธี มีประชาชนชาวอำเภอวิเชียรบุรีและใกล้เคียงจำนวนกว่า 4,000 คน เข้าร่วมกิจกรรม

เมื่อพลโทสาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 ประธานพิธี เดินทางถึงยังบริเวณพิธี ได้เข้าสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายคณีธิป บุณยเกตุ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แกนนำชุมชน ร่วมต้อนรับ

ต่อจากนั้นประธานในพิธีได้กล่าวเปิดงาน พร้อมนำผู้เข้าร่วมพิธีขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีมหาราชา และได้ร่วมพิธีหล่อเทียนจำนำพรรษา เพื่อเป็นสัญลักษณ์นำหลักพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องหลอมรวมความรัก ความสามัคคี ของชาวเพชรบูรณ์ หลังจากนั้นได้พบปะกับประชาชนและเยี่ยมร้านค้าของส่วนราชการ และภาคเอกชน ที่มาออกร้านบริการต่าง ๆเช่น อาหาร น้ำดื่ม จำหน่ายสินค้าธงฟ้า ราคาประหยัด พร้อมแจกจ่ายข้าวสารจ ถุงละ 5 กิโลกรัม จำนวน 4,000 ถุง แก่ผู้ที่มาร่วมงานด้วย

องคมนตรีระบุสังคมไทยอยู่ในช่วงสุดโต่งจากนโยบายประชานิยม

วันนี้ (2 ก.ค.2557) ชมรมเครือข่ายวิจัยโรงพยาบาลเขตภาคเหนือ ได้จัดสัมมนาวิชาการเครือข่ายวิจัยโรงพยาบาลเขตภาคเหนือ ที่โรงแรงโฆษิตฮิลล์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยศาสตราจารย์ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นประธานเปิดและปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการวิจัย มีนายสุชาติ ราษฎร์ดุษดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวต้อนรับ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเขตภาคเหนือเข้าร่วม

ศาสตราจารย์ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นยุคทศวรรษแห่งความมืดมน มีผลพวงมาจากการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยม ส่งผลให้ประชาชนหลงไหลในวัตถุนิยม บริโภคนิยม ที่สำคัญมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างสุดโต่ง ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม จนเรียกได้ว่าสังคมไทยป่วยอาการหนัก ต้องมีการผ่าตัดเกือบทั้งหมดทุกด้าน คนไทยต้องกลับมาทบทวนและปรับปรุงจิตใจให้มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อกลับสู่สภาพเคยเป็นอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องทำการวิจัย ช่วยกันวิเคราะห์เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ระบุว่า การวิจัยเป็นเครื่องมือพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ องค์ความรู้จากการวิจัย จะสามารถรู้ถึงสภาพปัญหา ความต้องการของสังคม อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ การแก้ไขปัญหาและพัฒนาต่อยอดในงานต่างๆ รวมถึงงานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข

องคมนตรี กล่าวด้วยว่า การประชุมวิชาการเครือข่ายวิจัยโรงพยาบาล เป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานบริการด้านการแพทย์ จึงเรียกร้องให้บุคลากรตั้งใจในการศึกษา ทำการวิจัยทั้งด้านกายภาพและจิตใจ เชื่อว่าจะส่งผลดีและเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพผู้ป่วยที่มาใช้บริการ รวมถึงการหลุดพ้นการการป่วยทางสังคมได้ด้วย

กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารม้าที่ ๑ ร่วมกับจังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จับกุมการครอบครองไม้แปรรูปโดยผิดกฎหมายผู้นำท้องถิ่นตรวจยึดของกลางจำนวนมาก

วันนี้ (2 ก.ค.57) เวลา 14.00 น. พลตรีบรรเจิด ฉางปูนทอง ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารม้าที่ 1 ร่วมกับ นายคณีธิป บุณยเกตุ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ พันตำรวจเอกปริญญา วิศิษฐฏากุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมผู้กระทำผิด พระราชบัญญัติป่าไม้ ที่ตำบลน้ำชุม อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พลตรีบรรเจิด ฉางปูนทอง กล่าวว่า ตามที่ คสช. ได้มีคำสั่งให้ปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกและทำลายทรัพยากรป่าไม้ นั้น เมื่อวันที่ 1 ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งว่ามีการซุกซ่อนไม้แปรรูป โดยผิดกฎหมาย ที่หมู่ที่ 10 ตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จึงได้จัดกำลัง 4 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ ปกครอง หน่วยงานทรัพยากรป่าไม้ เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 2 จุด เป้าหมายที่ 1 ตรวจพบไม้ประดู่แปรรูป จำนวน 56 แผ่นแจ้งข้อกล่าวหามีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครอง เป้าหมายที่ 2 ตรวจพบไม้สักแปรรูป ประมาณ 3,700 แผ่น ไม้ประดู่ จำนวน 51 ท่อนเหลี่ยม ไม้ประดู่และไม้มะค่าโมง จำนวนประมาณ 213 แผ่น ซึ่งกำลังแปรรูปเพื่อใช้ปลูกบ้านหลังขนาดใหญ่ มีกองไม้ซุกซ่อนอยู่ชั้นใต้ดิน และมีการตั้งเรื่อยแปรรูป ขณะนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาตั้งโรงงานแปรรูปไม้ทำการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต มีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครอง เกินกว่า 0.2 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังตรวจนับจำนวนไม้และตรวจหาหลักฐานการได้มาเพื่อดำเนินคดี ด้านนายคณีธิป บุณยเกตุ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวถึงคดีนี้ว่า มีผู้นำท้องที่ ผู้บริหารท้องถิ่นเข้าไปเกี่ยวข้อง หากมีความผิดจริงก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของทางราชการ ต่อไป

เหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก มอบทุนสนับสนุนการเดินทาง ให้กับตัวแทนยุวกาชาดไทย ซึ่งเป็นตัวแทนของคนพิษณุโลก

เหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก มอบทุนสนับสนุนการเดินทาง ให้กับตัวแทนยุวกาชาดไทย ซึ่งเป็นตัวแทนของคนพิษณุโลก ที่จะไปร่วมกิจกรรมกาชาดและยุวกาชาด ที่ประเทศออสเตรีย พร้อมมอบทุนช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบอัคคีภัย อีก 1 ทุน

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา ที่ห้องรับรอง ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก นาย ระพี ผ่องบุพกิจ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก พร้อมด้วย นาง จันทนา ประเสริฐกุล รองนายกเหล่ากาชาด และสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก ได้มอบทุนสนับสนุนการเดินทางให้กับ นางสาว ธัญรดา ยิ้มอ่ำ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยพิษณุโลก ซึ่งเป็นสมาชิกอาสายุวกาชาด ที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย ให้เป็นผู้แทนยุวกาชาดไทย 1 ใน 2 คน ที่จะไปร่วมกิจกรรมกาชาดและยุวกาชาด ณ เมือง Langenlois ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 7 – 21 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ นาย ระพี ผ่องบุพกิจ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก กล่าวกับ นางสาว ธัญรดา ยิ้มอ่ำ ผู้แทนยุวกาชาดไทย ว่า ขอให้ตั้งใจ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ที่ได้เป็นทั้งตัวแทนของคนจังหวัดพิษณุโลกและประเทศไทย ที่จะนำวัฒนธรรมไทย และความเป็นเอกลักษณ์ของพิษณุโลก ไปแสดงให้กับ คนต่างชาติได้เห็น ขอให้ภูมิใจและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ด้านนางสาว ธัญรดา ยิ้มอ่ำ ผู้แทนยุวกาชาดไทย กล่าวว่า ตนเองรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เป็นตัวแทนยุวกาชาดไทยในครั้งนี้ และถึงแม้ตนเองจะเป็นคนจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่ตนเองก็ได้มาศึกษาอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก ก็จะขอทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคนพิษณุโลก ไปสร้างชื่อเสียง โดยตนเองจะนำการแสดง รำไทย พร้อมทั้งการทำอาหารไทย ซึ่งเลือกที่จะทำแกงเขียวหวาน ไปร่วมแสดงและโชว์ฝีมือในกิจกรรมครั้งนี้ พร้อมกันนี้ นาย ระพี ผ่องบุพกิจ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งพร้อมถุงน้ำใจ ให้กับนางสาว สภัทร์พร ทองเกตุ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และเป็นอาสายุวกาชาด สังกัดชมรมอาสายุวกาชาด โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยพิษณุโลก เพื่อเป็นการช่วยเหลือนักเรียนที่บ้านประสบอัคคีภัย ซึ่งเกิดเหตุที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เมื่อช่วงกลางเดือน มิถุนายน ที่ผ่านมา

องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จัดงานแถลงข่าวสื่อมวลชนเตรียมจัดเทศกาล “ชิมกาแฟแก่งซองล่องแก่งลำน้ำเข็ก ประจำปี 2557” อย่างยิ่งใหญ่

องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จัดงานแถลงข่าวสื่อมวลชนเตรียมจัดเทศกาล "ชิมกาแฟแก่งซองล่องแก่งลำน้ำเข็ก ประจำปี 2557”

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา ที่บริเวณเชิงสะพานริมน้ำเข็ก บ้านท่าข้าม หมู่ 5 ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นายมนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานในการแถลงข่าวสื่อมวลชนเตรียมจัดเทศกาล ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ซึ่งจะมีพิธีเปิดเทศกาลในวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 นี้ เพื่อเป็นการเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาสัมผัสและร่วมพิชิตสายน้ำที่ได้ชื่อว่าเป็นสายน้ำที่มีความท้าทายมากที่สุดของประเทศไทย โดยมีระดับความยากง่ายสลับกันไปภายในสายน้ำสายเดียวกันถึง 5 ระดับ สำหรับกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็กแห่งนี้ เริ่มจัดมาตั้งแต่ปี 25542 เป็นต้นมา ซึ่งการล่องแก่ง นับเป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่ท้าทายความสามารถของผู้รักการผจญภัยทางน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนนับเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการล่องแก่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากน้ำมีปริมาณมาก มีกระแสน้ำไหลแรง สร้างความตื่นเต้น สนุกสนาน และท้าทายผู้เล่นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งลำน้ำเข็ก ของ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จัดเป็นสนามล่องแก่งที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากลำน้ำเข็กแห่งนี้จะมีกระแสน้ำไหลผ่านเกาะแก่งมากมายตามระดับความ ยากง่ายตลอดเส้นทางสลับกัน ท้าทายความสามารถของนักล่องแก่งมืออาชีพเป็นอย่างยิ่ง โดยในปีนี้ทางจังหวัดพิษณุโลก ได้จัดงาน "เทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ประจำปี 2557" ณ บริเวณลำน้ำเข็ก บ้านท่าข้าม หมู่ 2 ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงระหว่าง เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม เพื่อประชาสัมพันธ์เทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก และเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย

โดยมีจุดเริ่มต้นของการล่องแก่งลำน้ำเข็กคือ "แก่งท่าข้าม" เป็นแก่งน้ำขนาดเล็ก พอให้นักล่องแก่งได้ฝึกหัดบังคับเรือยางสร้างความคุ้นเคยกับการล่องแก่งลำน้ำเข็ก จากนั้นจะล่องต่อไปที่ "แก่งไทร"เป็นแก่งที่มีระดับความยากอยู่ที่ระดับ 2-3 เป็นแก่งที่มีความคดเคี้ยว มีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่นจนนักท่องเที่ยวที่ได้มาสัมผัสแล้วต่างก็ตั้งฉายาให้ กับแก่งนี้อีกชื่อคือ "แก่งมรดกป่า" ในการบังคับเรือยางให้ผ่านแก่งนี้ไปได้จะต้องใช้ทักษะในการบังคับเรือยางพอ สมควรกระแสน้ำจะไหลแยกออกเป็นสองทาง ก่อนล่องไปที่ "แก่งปากยาง" มีความยาวประมาณ 100 เมตร ความยากของแก่งนี้อยู่ที่ระดับ 2-3 แล้วแต่ความรุนแรงของกระแสน้ำ แก่งปากยางนี้จะมีน้ำตกเล็กๆ ที่ลดระดับของชั้นหินขวางอยู่ทั้งลำน้ำ เมื่อผ่านแก่งนี้ไปก็จะเข้าสู่ "แก่งหินลาด" แก่งนี้นักท่องเที่ยวจะสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง เนื่องจากเป็นแก่งที่นักท่องเที่ยวจะต้องยึดตัวให้อยู่บนเรือ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกกระแสน้ำซัดตกเรือ หรือกระเด็นไปอยู่หัวเรือ-ท้ายเรือได้ เพราะแก่งนี้มีกระแสน้ำที่ค่อนข้างรุนแรง ด้านนายมนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า กิจกรรมล่องแก่งนี้นอกจากจะเป็นการท่องเที่ยวที่ท้าทายแล้ว ยังเป็นกีฬาที่สามารถสร้างความสามัคคีในหมู่คณะได้ดีอีกด้วย โดยในพิธีทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก ได้ร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำพิธีเปิดงานเทศกาล "ชิมกาแฟแก่งซองล่องแก่งลำน้ำเข็ก ประจำปี 2557” ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ณ บริเวณลำน้ำเข็ก บ้านท่าข้าม หมู่ 2 ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก