นพ.บุญเติม ตันสุรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกไม่ได้ระบาดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังระบาดทั่วไปในกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องทุกปี โดยภูมิภาคอาเซียนมีลักษณะภูมิอากาศร้อนชื้นแบบลมมรสุม ทำให้เหมาะสมต่อการแพร่พันธุ์ของยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก ดังนั้นกลุ่มประเทศอาเซียนจึงได้ร่วมกันกำหนดให้วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปีเป็น "วันไข้เลือดออกอาเซียน” หรือ "ASEAN Dengue Day” ขึ้น เพื่อรณรงค์ป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกพร้อมกันทั่วทั้งภูมิภาค และจังหวัดพิษณุโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 16 – 20 มิถุนายน 2557 เป็น "สัปดาห์รณรงค์ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ครั้งที่ 2 ปี 2557” และได้สั่งการให้ทุกอำเภอ ทุกสถานบริการสาธารณสุข ร่วมกันดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออก ในช่วงสัปดาห์รณรงค์ดังกล่าวแล้ว นพ.บุญเติม ยังได้เตือนประชาชนชาวพิษณุโลก ให้ระวังการระบาดของ "โรคไข้เลือดออก” ในช่วงฤดูฝนนี้ โดยได้กล่าวว่าจาก สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย ปี 2557 (1 ม.ค.-9 มิ.ย. 2557) มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกแล้วทุกจังหวัด จำนวน 7,465 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 11.61 ต่อประชากรแสนคน และเสียชีวิตจำนวน 4 ราย จาก 3 จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 0.05
ซึ่งพื้นที่ที่มีอัตราป่วยของโรคไข้เลือดออกสูง คือจังหวัดในภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับ สถานการณ์ของจังหวัดพิษณุโลก (1 ม.ค.-9 มิ.ย. 2557) มีรายงานพบผู้ป่วยใน 5 อำเภอ รวม 28 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 3.22 ต่อประชากรแสนคน และมีอัตราป่วยอยู่ในอันดับที่ 4 ของเขต และอันดับที่ 68 ของประเทศ นอกจากนี้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ยังได้ฝากถึงมาตรการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกที่ได้ผลและเหมาะสมกับประเทศไทย ต้องยึดหลัก "5 ป. 1 ข.” ได้แก่ - "ปล่อย” ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะขังน้ำ - "ปิด” ปิดฝาภาชนะขังน้ำ ทั้งน้ำกินน้ำใช้ - "เปลี่ยน” เปลี่ยนน้ำในแจกัน หรือภาชนะขังน้ำ ทุก 7 วัน - "ปรับ” ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย - "ปฏิบัติ” ปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอ จนเป็นนิสัย - "ขัด” ขัดล้างภาชนะ ก่อนเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกสัปดาห์ หากสงสัยหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ กลุ่มงานควบคุมโรค กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก โทรศัพท์ 055-252052 ต่อ 651-6
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก หมายเลขโทรศัพท์ 055-252052 ต่อ 651 – 6
วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกเตือนประชาชนที่ติดตามดูฟุตบอลโลกจนขาดการพักผ่อน ต้องระมัดระวังสุขภาพให้ดี
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกเตือนประชาชนที่ติดตามดูฟุตบอลโลกจนขาดการพักผ่อน ต้องระมัดระวังสุขภาพให้ดี จะส่งผลกระทบให้เป็นได้ตั้งแต่ง่วงซึม ล้า โรคอ้วน ความดันโลหิตสูงหรือถึงขั้นหัวใจวายเสียชีวิตได้
นายแพทย์บุญเติม ตันสุรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า การนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ( insufficient sleep) เป็นภาวะที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบสมองและการรับรู้จดจำที่สำคัญคือทำให้ความดันโลหิตสูง เพราะการนอนไม่เพียงพอทำให้เกิดความเครียดควบคุมอารมณ์ไม่ได้ส่งผลให้มีการหลั่งสารเคมีมากระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้นความต้านทานในหลอดเลือดแดงสูงขึ้น หรือทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวทำให้มีขนาดเล็กลงจึงให้ง่ายต่อการ เกิดภาวะการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองเรียกว่าเส้นเลือดในสมองแตกเพราะเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นผนังหลอดเลือดบริเวณที่ไม่แข็งแรงอาจแตกออกทำให้เลือดพุ่งออกมากดเนื้อสมองหรือการไหลเวียนของเลือดลดลงทำให้สมองขาดเลือดอาจเป็นอัมพาตได้ซ้ำร้ายการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายให้เกิดการสูบฉีดของโลหิตไปเลี้ยงที่หัวใจไม่เป็นปรกติทำให้หัวใจขาดเลือดและส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก ก่อให้เกิดหัวใจวายหัวใจล้มเหลวได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าการอดนอนทำให้เป็นโรคอ้วนเพราะการนอนหลับไม่เพียงพอมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายที่ควบคุมความอยากอาหารของร่างกายจากการศึกษาวิจัยพบว่า การนอนหลับเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 2 คืนติดต่อกันจะทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้ไม่อยากอาหาร ลดลงถึง 18% และฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดความหิวนั้น เพิ่มขึ้นถึง 28% หมายความว่าทำให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้นนั่นเองและลักษณะอาหารที่คนอดนอนต้องการก็เปลี่ยนไปด้วยจะมีความอยากอาหารหวาน ๆ มากขึ้นในขณะที่ความอยากอาหารในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้กลับลดน้อยลงเนื่องจากการที่สมองเป็นอวัยวะที่ใช้แป้งและน้ำตาลเป็นพลังงานจึงเป็นเหตุให้คนอดนอนเลือกรับประทานอาหารกลุ่มที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (เช่น แป้งขัดขาว น้ำตาลทรายขาว)เพื่อชดเชยการนอนไม่พอนั่นเองนี่ยังไม่รวมถึงการรับประทานอาหารระหว่างดูบอลแล้วก็นอนย่อมจะทำให้อ้วนแน่นอน
ดังนั้นหากต้องติดตามดูบอลโลกต้องวางแผนพักผ่อนให้ดี ควรกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซีเพราะเวลาอดนอนทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆจึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมากเลือกกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสดน้ำส้มคั้นสดๆ เมื่อต้องชมฟุตบอลตอนกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเองเพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ชม.เท่านั้นหากกินอาหารเย็น 6 โมงเย็น ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้วจะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไปทั้งนี้ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืชจะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอลหรือดูหนังสือไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้าน เพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อยและควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมงสุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดีไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟหรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมงหากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอหากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่น กลุ่มงานการสร้างสุขภาพภาคประชาชนและสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก โทรศัพท์ 055-252052 ต่อ 614-5
อย่างไรก็ตามหากมีอาการโงนเงนหน้ามืด นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพออย่างมาก ต้องงดเว้นการนอนดึก นอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อตรวจสุขภาพทันที อย่าประมาท ท้ายที่สุดนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกฝากความห่วงใยถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฯลฯ ไม่ควรเสี่ยงกับการอดหลับอดนอนดูบอลดึกๆ ควรยับยั้งชั่งใจติดตามผลตอนข่าวภาคเช้าจะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากกว่า
นายแพทย์บุญเติม ตันสุรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า การนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ( insufficient sleep) เป็นภาวะที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบสมองและการรับรู้จดจำที่สำคัญคือทำให้ความดันโลหิตสูง เพราะการนอนไม่เพียงพอทำให้เกิดความเครียดควบคุมอารมณ์ไม่ได้ส่งผลให้มีการหลั่งสารเคมีมากระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้นความต้านทานในหลอดเลือดแดงสูงขึ้น หรือทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวทำให้มีขนาดเล็กลงจึงให้ง่ายต่อการ เกิดภาวะการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองเรียกว่าเส้นเลือดในสมองแตกเพราะเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นผนังหลอดเลือดบริเวณที่ไม่แข็งแรงอาจแตกออกทำให้เลือดพุ่งออกมากดเนื้อสมองหรือการไหลเวียนของเลือดลดลงทำให้สมองขาดเลือดอาจเป็นอัมพาตได้ซ้ำร้ายการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายให้เกิดการสูบฉีดของโลหิตไปเลี้ยงที่หัวใจไม่เป็นปรกติทำให้หัวใจขาดเลือดและส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก ก่อให้เกิดหัวใจวายหัวใจล้มเหลวได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าการอดนอนทำให้เป็นโรคอ้วนเพราะการนอนหลับไม่เพียงพอมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายที่ควบคุมความอยากอาหารของร่างกายจากการศึกษาวิจัยพบว่า การนอนหลับเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 2 คืนติดต่อกันจะทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้ไม่อยากอาหาร ลดลงถึง 18% และฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดความหิวนั้น เพิ่มขึ้นถึง 28% หมายความว่าทำให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้นนั่นเองและลักษณะอาหารที่คนอดนอนต้องการก็เปลี่ยนไปด้วยจะมีความอยากอาหารหวาน ๆ มากขึ้นในขณะที่ความอยากอาหารในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้กลับลดน้อยลงเนื่องจากการที่สมองเป็นอวัยวะที่ใช้แป้งและน้ำตาลเป็นพลังงานจึงเป็นเหตุให้คนอดนอนเลือกรับประทานอาหารกลุ่มที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (เช่น แป้งขัดขาว น้ำตาลทรายขาว)เพื่อชดเชยการนอนไม่พอนั่นเองนี่ยังไม่รวมถึงการรับประทานอาหารระหว่างดูบอลแล้วก็นอนย่อมจะทำให้อ้วนแน่นอน
ดังนั้นหากต้องติดตามดูบอลโลกต้องวางแผนพักผ่อนให้ดี ควรกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซีเพราะเวลาอดนอนทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆจึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมากเลือกกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสดน้ำส้มคั้นสดๆ เมื่อต้องชมฟุตบอลตอนกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเองเพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ชม.เท่านั้นหากกินอาหารเย็น 6 โมงเย็น ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้วจะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไปทั้งนี้ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืชจะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอลหรือดูหนังสือไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้าน เพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อยและควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมงสุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดีไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟหรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมงหากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอหากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่น กลุ่มงานการสร้างสุขภาพภาคประชาชนและสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก โทรศัพท์ 055-252052 ต่อ 614-5
อย่างไรก็ตามหากมีอาการโงนเงนหน้ามืด นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพออย่างมาก ต้องงดเว้นการนอนดึก นอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อตรวจสุขภาพทันที อย่าประมาท ท้ายที่สุดนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกฝากความห่วงใยถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฯลฯ ไม่ควรเสี่ยงกับการอดหลับอดนอนดูบอลดึกๆ ควรยับยั้งชั่งใจติดตามผลตอนข่าวภาคเช้าจะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากกว่า
สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเวทีแลกเปลี่ยนรู้ด้านวิชาการและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสริมสร้างองค์ความรู้
วันนี้ 19 มิถุนายน 2557 ดร.วิระวรรณ ถิ่นยืนยง รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเวทีแลกเปลี่ยนรู้ด้านวิชาการและนวัตกรรม ณ ห้องศรีเทพ โรงแรมฆิตฮิลล์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีบุคลากรสาธารณสุขทุกอำเภอเข้าร่วม จำนวน 200 คน การพัฒนาทางวิชาการในปัจจุบันขององค์กรภาครัฐหรือองค์กรสมัยใหม่ที่มีผลงานเป็นเลิศ หรือมีผลงานอยู่ในระดับแนวหน้ามักจะเป็นองค์กรที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีการแสดงผลงาน การศึกษาวิจัย ส่งผลให้มีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง งานมีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามแผนที่กำหนด การจัดประชุมครั้งนี้ เพื่อส่งเสริม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสริมสร้างองค์ความรู้ สร้างความทันสมัยทางวิชาการละการพัฒนาบุคลากร/องค์กร รวมทั้งให้มีการเผยแพร่ผลงานสู่เวทีสาธารณะ โดยมีกิจกรรม การบรรยายพิเศษ การประกวดผลงานทางวิชาการ งานวิจัย CQI. R2R นวัตกรรม (นิทรรศการ) และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของโรงพยาบาล
สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดสัมมนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคและการจัดตั้งศูนย์แปรรูปและรับรองคุณภาพเนื้อโคครบวงจร
วันนี้ (19 มิ.ย.57) ณ ห้องพีชปุระ โรงแรมโฆษิตฮิลล์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นปะธานพิธีเปิดการสัมมนา เครือข่ายส่งเสริมการตลาด โครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคและการจัดตั้งศูนย์แปรรูปและรับรองคุณภาพเนื้อโคครบวงจร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และวิทยากร ผู้มีความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ด้านการพัฒนาโคเนื้อ เข้าร่วมพิธีเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรเครือข่ายผู้แทนกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์
สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้จัดโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคและการจัดตั้งศูนย์แปรรูปและรับรองคุณภาพเนื้อโคครบวงจรขึ้นในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อให้ตรงกับความต้องการของตลาด เพิ่มจำนวนการผลิตโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตาก ปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ และให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตากให้เหมาะกับพื้นที่และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า การที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ดำเนินการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เกษตรกรเครือข่ายฯ มีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาพันธุ์โคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตาก และเชื่อมั่นว่าผู้เข้ารับการสัมมนาคงจะได้รับความรู้ความเข้าใจในกลไลการผลิตโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตาก การตลาดเนื้อ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิเคราะห์การตลาดร่วมกัน จนทำให้สามารถติดต่อเชื่อมโยงเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกัน รวมถึงทำให้วงจรการผลิต การจลาดโคเนื้อมีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการต่อรองเพิ่มขึ้นต่อไป
สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้จัดโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคและการจัดตั้งศูนย์แปรรูปและรับรองคุณภาพเนื้อโคครบวงจรขึ้นในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อให้ตรงกับความต้องการของตลาด เพิ่มจำนวนการผลิตโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตาก ปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ และให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตากให้เหมาะกับพื้นที่และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า การที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ดำเนินการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เกษตรกรเครือข่ายฯ มีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาพันธุ์โคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตาก และเชื่อมั่นว่าผู้เข้ารับการสัมมนาคงจะได้รับความรู้ความเข้าใจในกลไลการผลิตโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ตาก การตลาดเนื้อ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิเคราะห์การตลาดร่วมกัน จนทำให้สามารถติดต่อเชื่อมโยงเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกัน รวมถึงทำให้วงจรการผลิต การจลาดโคเนื้อมีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการต่อรองเพิ่มขึ้นต่อไป
สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดเพชรบูรณ์ จัดโครงการ”กลยุทธ์และการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่เพื่อพร้อมรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”
วันนี้ (19 มิ.ย.57) ที่ โรงแรมโฆษิตฮิลล์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ นายสุชาติ ราษฎร์ดุษดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานเปิดการอบรมโครงการ”กลยุทธ์และการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่เพื่อพร้อมรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบธุรกิจ และนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมการอบรมกว่า 90 คน
สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้จัดโครงการ”กลยุทธ์และการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่เพื่อพร้อมรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีศักยภาพในการประกอบการ สามารถทำธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งในภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพื่อปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจให้เหมาะสม และเตรียมความพร้อมทางด้านการทำธุรกิจที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมได้นำความรู้ที่ได้รับไปปรับประยุกต์ใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองให้เกิดความเจริญก้าวหน้าและยั่งยืนได้ตลอดไป
สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้จัดโครงการ”กลยุทธ์และการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่เพื่อพร้อมรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีศักยภาพในการประกอบการ สามารถทำธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งในภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพื่อปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจให้เหมาะสม และเตรียมความพร้อมทางด้านการทำธุรกิจที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมได้นำความรู้ที่ได้รับไปปรับประยุกต์ใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองให้เกิดความเจริญก้าวหน้าและยั่งยืนได้ตลอดไป
จังหวัดเพชรบูรณ์ ประชุมคณะทำงานเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ครั้งที่5/2557
วันนี้ (19 มิ.ย.57) นายสุชาติ ราษฎร์ดุษดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ครั้งที่5/2557 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเร่งรัดติดตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามมาตรการและเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ที่กำหนดเป้าหมายเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 82 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงานการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย 2,525,000 ล้านบาท
ซึ่งในที่ประชุมส่วนราชการได้รายงานผลการดำเนินงาน ผลการเบิกจ่าย และปัญหาอุปสรรคเพื่อให้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในไตรมาสที่ 3 สิ้นเดือน มิถุนายน 2557 ให้ได้ร้อยละ 70 ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ต่อไป
ซึ่งในที่ประชุมส่วนราชการได้รายงานผลการดำเนินงาน ผลการเบิกจ่าย และปัญหาอุปสรรคเพื่อให้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในไตรมาสที่ 3 สิ้นเดือน มิถุนายน 2557 ให้ได้ร้อยละ 70 ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ต่อไป
จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์และกิจกรรมสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2557
นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้กำหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์และกิจกรรมสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2557 ภายใต้คำขวัญ "สังคมปลอดภัย ชุมชนอุ่นใจ ได้ลูกหลานกลับคืน” ร่วมปกป้องลูกหลานให้ห่างไกลยาเสพติด ในวันที่ 26 มิถุนายน 2557 เวลา 08.30 น. ณ บริเวณหน้าหอราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย(ศาลากลางจังหวัดหลังเก่า)
ในงานมีกิจกรรมการแสดงชุด TO BE NUMBER ONE การแสดงชุด "รวมพลังคนไทยสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ร่วมต่อต้านยาเสพติด” การกล่าวสุนทรพจน์ "บทบาทของเด็กและเยาวชนในการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด” ของนักเรียนที่ชนะการแข่งขัน พิธีถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การมอบโล่แก่หน่วยงาน บุคคลที่มีผลงานด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดดีเด่น หมู่บ้านกองทุนแม่ดีเด่น จากนั้นร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และสดุดีมหาราชา และปล่อยแถวระดมกวาดล้าง จัดระเบียบสังคม ขบวนเดินรณรงค์แก้ปัญหายาเสพติดและสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ เดินไปตามเส้นทางที่กำหนด
สำหรับผู้ที่จะร่วมงาน ข้าราชการพลเรือน ให้แต่งเครื่องแบบสีกากีคอพับแขนยาว สวมหมวก ข้าราชการตำรวจ ทหาร นักเรียน นักศึกษา เครื่องแบบตามสังกัด กลุ่มพลังมวลชน ประชาชน แต่งกายชุดสุภาพ จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า พร้อมใจกันร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในวันต่อต้านยาเสพติด 26 มิถุนายน นี้ โดยพร้อมเพรียงกัน
ในงานมีกิจกรรมการแสดงชุด TO BE NUMBER ONE การแสดงชุด "รวมพลังคนไทยสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ร่วมต่อต้านยาเสพติด” การกล่าวสุนทรพจน์ "บทบาทของเด็กและเยาวชนในการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด” ของนักเรียนที่ชนะการแข่งขัน พิธีถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การมอบโล่แก่หน่วยงาน บุคคลที่มีผลงานด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดดีเด่น หมู่บ้านกองทุนแม่ดีเด่น จากนั้นร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และสดุดีมหาราชา และปล่อยแถวระดมกวาดล้าง จัดระเบียบสังคม ขบวนเดินรณรงค์แก้ปัญหายาเสพติดและสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ เดินไปตามเส้นทางที่กำหนด
สำหรับผู้ที่จะร่วมงาน ข้าราชการพลเรือน ให้แต่งเครื่องแบบสีกากีคอพับแขนยาว สวมหมวก ข้าราชการตำรวจ ทหาร นักเรียน นักศึกษา เครื่องแบบตามสังกัด กลุ่มพลังมวลชน ประชาชน แต่งกายชุดสุภาพ จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า พร้อมใจกันร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในวันต่อต้านยาเสพติด 26 มิถุนายน นี้ โดยพร้อมเพรียงกัน
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์เปิดช่องทางรับร้องเรียนพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์ สามเณร เบาะแสด้านพระพุทธศาสนา
นางศิริพร เรืองวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มอบนโยบายให้ดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดการร้องเรียน ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ หน้าที่ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและตรวจสอบการทำงานของหน่วยงาน การแสวงหาผลประโยชน์ด้านพระพุทธศาสนา การละเลยกฎ ระเบียบ มติของคณะสงฆ์ โดยประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับวัด พฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์หรือสามเณร พฤติกรรมของบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ การบุกรุกวัด การเช่าที่วัด แจ้งเบาะแสต่าง ๆ ด้านพระพุทธศาสนา ให้ข้อเสนอแนะ หรืออื่น ๆ
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ร่วมมือช่วยกันตรวจสอบ และส่งเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานพระพุทธสาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เลขที่ 29 วัดมหาธาตุ(พระอารามหลวง) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ รหัสไปรผษณีย์ 67000 โทร.056-713174-5 โดยสามารถร้องเรียนด้วยตนเอง หรือส่งจดหมายไปที่สำนักงานฯ หรือตู้รับเรื่องหน้าสำนักงานฯ เว็บไซต์ http://pnb.onab.go.th หรือ E-mail : phetbuddha@hotmail.com
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ร่วมมือช่วยกันตรวจสอบ และส่งเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานพระพุทธสาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เลขที่ 29 วัดมหาธาตุ(พระอารามหลวง) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ รหัสไปรผษณีย์ 67000 โทร.056-713174-5 โดยสามารถร้องเรียนด้วยตนเอง หรือส่งจดหมายไปที่สำนักงานฯ หรือตู้รับเรื่องหน้าสำนักงานฯ เว็บไซต์ http://pnb.onab.go.th หรือ E-mail : phetbuddha@hotmail.com
จังหวัดเพชรบูรณ์ แก้ไขปัญหาครัวเรือนยากจนรายได้ตกเกณฑ์ จปฐ. จากเป้าหมาย ๖๑๖ ครัวเรือน ได้แล้ว ๕๙๐ ครัวเรือน
จังหวัดเพชรบูรณ์แก้ไขปัญหาครัวเรือนยากจนรายได้ตกเกณฑ์ จปฐ. จากเป้าหมาย 616 ครัวเรือน ได้แล้ว 590 ครัวเรือน คงเหลือไม่ผ่านเกณฑ์ 26 ครัวเรือน เป็นครัวเรือนผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเจ็บป่วย ได้ประสานรับการสงเคราะห์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (19 มิ.ย.57) ที่ห้องประชุม 4 ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ นายไพศาล สุขปัญญา พัฒนาการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาชนบทตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของอำเภอและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จากข้อมูลครัวเรือนยากจนปีงบประมาณ 2556 จังหวัดเพชรบูรณ์มีเป้าหมายครัวเรือนยากจนที่รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีตกเกณฑ์ จปฐ. จำนวน 616 ครัวเรือน หน่วยงานส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ได้บูรณาการการพัฒนาศักยภาพครัวเรือนยากจนตามหลักการพัฒนาชีวิต " ชี้เป้าชีวิต จัดทำเข็มทิศชีวิต บริหารจัดการชีวิต และดูแลชีวิต ” ช่วยเหลือด้านอาชีพเสริม ออกเยี่ยมครัวเรือน ตรวจสุขภาพอนามัย มอบเครื่องอุปโภคบริโภค ซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ตลอดจนให้ความช่วยเหลือตามโครงการจ้างงานเร่งด่วนช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติภัยแล้ง ผลดำเนินการถึงปัจจุบัน ปรากฎว่าครัวเรือนเป้าหมายมีรายได้ผ่านเกณฑ์ จปฐ. แล้ว 590 ครัวเรือน คงเหลือครัวเรือนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 26 ครัวเรือน ซึ่งเป็นครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเจ็บป่วย ซึ่งจะประสานให้รับการสงเคราะห์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
และจากการบูรณาการของทุกภาคส่วนลงในระดับหมู่บ้าน ตำบล ในปีงบประมาณ 2557 พบว่ามีครัวเรือนยากจนรายได้ตกเกณฑ์ จปฐ. เพิ่มขึ้น 194 ครัวเรือน จังหวัดเพชรบูรณ์จึงได้กำหนดเป้าหมายพัฒนาศักยภาพครัวเรือนตามหลักการพัฒนาชีวิตและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้พ้นความยากจนต่อไปเช่นกัน
วันนี้ (19 มิ.ย.57) ที่ห้องประชุม 4 ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ นายไพศาล สุขปัญญา พัฒนาการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาชนบทตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของอำเภอและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จากข้อมูลครัวเรือนยากจนปีงบประมาณ 2556 จังหวัดเพชรบูรณ์มีเป้าหมายครัวเรือนยากจนที่รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีตกเกณฑ์ จปฐ. จำนวน 616 ครัวเรือน หน่วยงานส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ได้บูรณาการการพัฒนาศักยภาพครัวเรือนยากจนตามหลักการพัฒนาชีวิต " ชี้เป้าชีวิต จัดทำเข็มทิศชีวิต บริหารจัดการชีวิต และดูแลชีวิต ” ช่วยเหลือด้านอาชีพเสริม ออกเยี่ยมครัวเรือน ตรวจสุขภาพอนามัย มอบเครื่องอุปโภคบริโภค ซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ตลอดจนให้ความช่วยเหลือตามโครงการจ้างงานเร่งด่วนช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติภัยแล้ง ผลดำเนินการถึงปัจจุบัน ปรากฎว่าครัวเรือนเป้าหมายมีรายได้ผ่านเกณฑ์ จปฐ. แล้ว 590 ครัวเรือน คงเหลือครัวเรือนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 26 ครัวเรือน ซึ่งเป็นครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเจ็บป่วย ซึ่งจะประสานให้รับการสงเคราะห์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
และจากการบูรณาการของทุกภาคส่วนลงในระดับหมู่บ้าน ตำบล ในปีงบประมาณ 2557 พบว่ามีครัวเรือนยากจนรายได้ตกเกณฑ์ จปฐ. เพิ่มขึ้น 194 ครัวเรือน จังหวัดเพชรบูรณ์จึงได้กำหนดเป้าหมายพัฒนาศักยภาพครัวเรือนตามหลักการพัฒนาชีวิตและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้พ้นความยากจนต่อไปเช่นกัน
จังหวัดกำแพงเพชร จัดการสัมมนา “กฎหมายทางการค้า และการสร้างเครือข่ายทางการค้า ธุรกิจค้าข้าว” กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2557 พาณิชย์จังหวัดกำแพงเพชร จัดการสัมมนา "กฎหมายทางการค้า และการสร้างเครือข่ายทางการค้า ธุรกิจค้าข้าว” กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ที่ห้องไพลิน โรงแรมนวรัตน์เฮอริเทจ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โดยมีนายศักดิ์ สมบุญโต รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา "กฎหมายทางการค้า และการสร้างเครือข่ายทางการค้า ธุรกิจค้าข้าว” กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ในโครงการเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจข้าวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง เพื่อร่วมกันเสริมสร้างพัฒนาความรู้ด้านวิชาการให้ผู้ประกอบการข้าวและหน่วยงานภาคราชการเกี่ยวกับความรู้ด้านตลาด กฎระเบียบทางการค้า การส่งออก และผลกระทบจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นางวนิดา ทิพยศักดิ์ พาณิชย์จังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยว่า การจัดการสัมมนาในครั้งนี้ มีการบรรยายในเรื่อง "การเชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางการค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ”การบรรยายเรื่อง "สถานการณ์การตลาดข้าวไทยและข้าวโลก กฎระเบียบ มาตรการ การนำเข้า-ส่งออกสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์” การบรรยาย เรื่อง "ข้าว” ซึ่งเป็นโอกาสในการเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจ ในตลาด AEC จากวิทยากรผู้มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยผู้ประกอบการค้าข้าว ผู้ส่งออกข้าว โรงสี สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน ผู้นำเกษตรกร ภาคการศึกษา ผู้สนใจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากกกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี จำนวน 100 คน. ถือเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์มาก และนับเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเตรียมตัวรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือล่าง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของภาคเหนือ และเป็นแหล่งผลิตข้าวมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ธุรกิจข้าวจึงเป็นที่มาของรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มจังหวัด การพัฒนาศักยภาพธุรกิจข้าว เพื่อขยายช่องทางการค้า การเพิ่มมูลค่าข้าว และการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของสินค้าข้าว จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลถึงความอยู่ดีกินดีของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การเสริมสร้างพัฒนาความรู้ด้านวิชาการให้ผู้ประกอบการข้าวและหน่วยงานภาคราชการเกี่ยวกับความรู้ด้านตลาด กฎระเบียบทางการค้า การส่งออก และผลกระทบจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
นางวนิดา ทิพยศักดิ์ พาณิชย์จังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยว่า การจัดการสัมมนาในครั้งนี้ มีการบรรยายในเรื่อง "การเชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางการค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ”การบรรยายเรื่อง "สถานการณ์การตลาดข้าวไทยและข้าวโลก กฎระเบียบ มาตรการ การนำเข้า-ส่งออกสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์” การบรรยาย เรื่อง "ข้าว” ซึ่งเป็นโอกาสในการเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจ ในตลาด AEC จากวิทยากรผู้มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยผู้ประกอบการค้าข้าว ผู้ส่งออกข้าว โรงสี สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน ผู้นำเกษตรกร ภาคการศึกษา ผู้สนใจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากกกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี จำนวน 100 คน. ถือเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์มาก และนับเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเตรียมตัวรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือล่าง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของภาคเหนือ และเป็นแหล่งผลิตข้าวมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ธุรกิจข้าวจึงเป็นที่มาของรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มจังหวัด การพัฒนาศักยภาพธุรกิจข้าว เพื่อขยายช่องทางการค้า การเพิ่มมูลค่าข้าว และการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของสินค้าข้าว จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลถึงความอยู่ดีกินดีของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การเสริมสร้างพัฒนาความรู้ด้านวิชาการให้ผู้ประกอบการข้าวและหน่วยงานภาคราชการเกี่ยวกับความรู้ด้านตลาด กฎระเบียบทางการค้า การส่งออก และผลกระทบจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
นิพนธ์ รอดทรัพย์ / ข่าว
ผู้ตรวจ นายรวีโรจน์ ส่องศรี ประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร
ผู้ตรวจ นายรวีโรจน์ ส่องศรี ประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร
อำเภอขาณุรลักษบุรี จัดฝึกอบรมบำบัดรักษาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดระบบสมัครใจบำบัด
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2557 เวลา 11.00 น. ที่ศาลาวัดพัฒนราษฎร์บำรุง ตำบลยางสูง อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดกำแพงเพชร ร่วมกับกรมการปกครองจังหวัดกำแพงเพชร จัดฝึกอบรมบำบัดรักษาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดระบบสมัครใจบำบัด โดยมี พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม ผู้บัญชากองพลทหารราบที่ 4 เป็นประธานเปิดการจัดฝึกอบรม และมี นายสุรพล วาณิชเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร กล่าวต้อนรับ
ด้วยปัจจุบันปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับชาติ ซึ่งมีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาตามแนวชายแดน และสามารถจับกุมได้ของกลางครั้งละหลายล้านเม็ด และสามารถขยายผลยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้มีคำสั่งที่ 41/2557 เรื่องการปราบปรามและหยุดหยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อำเภอขาณุวรลักษบุรี จึงได้จัดโครงการอบรมบำบัดรักษาผู้เสพ ผู้ติด ระบบสมัครใจบำบัด ค่ายผู้นำเยาวชน คนรุ่นใหม่ ห่างไกลยาเสพติด และจัดชุดครูฝึก ครูพี่เลี้ยง คณะวิทยากรกระบวนการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เป็นผู้ให้คำปรึกษา และให้คำแนะนำ ในการเสริมสร้างกำลังกายกำลังใจ ให้แก่ผู้เข้าการอบรมทุกคน โดยนำผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ผ่านการซักประวัติคัดกรองจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 133 คน เข้าฝึกอบรมเพื่อให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมทุกคนไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และเป็นผู้นำหมู่บ้าน ชุมชน ในการช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลปัญหายาเสพติด ไม่ให้แพร่ระบาด และเพื่อความสงบสุขของหมู่บ้าน และชุมชน
ด้วยปัจจุบันปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับชาติ ซึ่งมีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาตามแนวชายแดน และสามารถจับกุมได้ของกลางครั้งละหลายล้านเม็ด และสามารถขยายผลยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้มีคำสั่งที่ 41/2557 เรื่องการปราบปรามและหยุดหยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อำเภอขาณุวรลักษบุรี จึงได้จัดโครงการอบรมบำบัดรักษาผู้เสพ ผู้ติด ระบบสมัครใจบำบัด ค่ายผู้นำเยาวชน คนรุ่นใหม่ ห่างไกลยาเสพติด และจัดชุดครูฝึก ครูพี่เลี้ยง คณะวิทยากรกระบวนการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เป็นผู้ให้คำปรึกษา และให้คำแนะนำ ในการเสริมสร้างกำลังกายกำลังใจ ให้แก่ผู้เข้าการอบรมทุกคน โดยนำผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ผ่านการซักประวัติคัดกรองจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 133 คน เข้าฝึกอบรมเพื่อให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมทุกคนไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และเป็นผู้นำหมู่บ้าน ชุมชน ในการช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลปัญหายาเสพติด ไม่ให้แพร่ระบาด และเพื่อความสงบสุขของหมู่บ้าน และชุมชน
นิพนธ์ รอดทรัพย์ / ข่าว
นายรวีโรจน์ ส่องศรี / ผู้ตรวจ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร
นายรวีโรจน์ ส่องศรี / ผู้ตรวจ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร
นครสวรรค์ บูรณาการกำลังพล กวาดล้างอาชญากรรม
วันพุธที่ 18 มิ.ย.57 เวลา 16.00 น. ผวจ.นว.นายชัยโรจน์ มีแดง เป็นประธานพิธีปล่อยแถวกวาดล้างอาชญากรรม โดยมี รอง ผบก.ภ.จว. รอง ผบ.มทบ.31 หัวหน้าสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน รวม 210 นาย เข้าร่วมพิธี เพื่อเสริมสร้างความสงบสุขแก่สังคม และผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม จึงได้มีคำสั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เพิ่มมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด อาวุธสงคราม และกำกับดูแลมิให้มีการเล่นการพนันที่ผิดกฎหมายทุกประเภท ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
นครสวรรค์ ประชุมผู้บริหารท้องถิ่น จัดตั้งศูนย์ปรองดอง โรดแมบ
นครสวรรค์ ประชุมผู้บริหารท้องถิ่น จัดตั้งศูนย์ปรองดอง โรดแมบ วันพฤหัสบดีที่ 19 มิ.ย.57 เวลา 13.00 น. ผวจ.นว. นายชัยโรจน์ มีแดง เป็นประธานการประชุมผู้บริหารท้องถิ่นในเขต จ.นครสวรรค์ ประจำเดือน มิ.ย.57 ซึ่งในที่ประชุม ผวจ.ได้มอบนโยบาย คสช. โรดแมบการแก้ไขปัญหาประเทศคืนความสุขให้คนไทย การปฏิบัติตามคำสั่ง คสช. และชี้แจงเรื่องการจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ระดับท้องถิ่น การทักท้วงของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินการจ่ายเบี้ยยังชีพของ อปท. และการขยายระยะเวลาเข้าร่วมโครงการคัดเลือกสถานที่ดีเด่นที่เอื้อต่อคนพิการ ประจำปี พ.ศ.2557 ณ ห้องประชุม 501ศาลากลางจังหวัด
ตำรวจสันติบาลจังหวัดอุตรดิตถ์ สร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนลับแลพิทยาคม จังหวัดอุตรดิตถ์
ตำรวจสันติบาลจังหวัดอุตรดิตถ์ สร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนลับแลพิทยาคม จังหวัดอุตรดิตถ์
ที่ห้องประชุมโรงเรียนลับแลพิทยาคม อำเภอลับแลจังหวัดอุตรดิตถ์ นายธรรมรงค์รัตน์ จอมสืบ ผู้อำนวยการโรงเรียนลับแลพิทยาคม เป็นประธานเปิดการอบรมตามโครงการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจรวมถึงปลูกจิตสำนึกให้ตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของโรงเรียนลับแลพิทยาคม โดยคำนึงความสำคัญที่ว่าประเทศไทย เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีระบอบการปกครอง "ประชาธิปไตย” โดยต่อด้วย "อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” ด้วยเหตุผลพื้นฐานของสังคมไทยที่เคารพรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง แม้ในยามเกิดวิกฤต พระมหากษัตริย์ก็ทรงช่วยให้ชาติรอดพ้นวิกฤติมาทุกครั้ง ได้ทรงเสียสละทุ่มเทพระวารกาย ปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อพสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา ซึ่งกองบัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นหน่วยงานความมั่นคงของรัฐจัดขึ้น มุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมมีส่วนร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเครือข่ายภาคประชาชน ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ ด้านการข่าวแก่ นำไปสู่การดำเนินการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่ห้องประชุมโรงเรียนลับแลพิทยาคม อำเภอลับแลจังหวัดอุตรดิตถ์ นายธรรมรงค์รัตน์ จอมสืบ ผู้อำนวยการโรงเรียนลับแลพิทยาคม เป็นประธานเปิดการอบรมตามโครงการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจรวมถึงปลูกจิตสำนึกให้ตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของโรงเรียนลับแลพิทยาคม โดยคำนึงความสำคัญที่ว่าประเทศไทย เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีระบอบการปกครอง "ประชาธิปไตย” โดยต่อด้วย "อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” ด้วยเหตุผลพื้นฐานของสังคมไทยที่เคารพรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง แม้ในยามเกิดวิกฤต พระมหากษัตริย์ก็ทรงช่วยให้ชาติรอดพ้นวิกฤติมาทุกครั้ง ได้ทรงเสียสละทุ่มเทพระวารกาย ปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อพสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา ซึ่งกองบัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นหน่วยงานความมั่นคงของรัฐจัดขึ้น มุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมมีส่วนร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเครือข่ายภาคประชาชน ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ ด้านการข่าวแก่ นำไปสู่การดำเนินการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ข่าว/สุรีย์ แสงทอง ทีมข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต ๑๗ นางสาวอัมพวัน เจริญกุล เป็นประธานเปิดศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานข้อมูลข่าวสารแก่สื่อมวลชนทุกแขนง
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต ๑๗ นางสาวอัมพวัน เจริญกุล เป็นประธานเปิดศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานข้อมูลข่าวสารแก่สื่อมวลชนทุกแขนง
วันนี้ (๑๙ มิ.ย.๕๗) ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวอัมพวัน เจริญกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจที่ ๑๗ เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด ซึ่งสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ นำโดย นายภวัต ศรีสมบูรณ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ดำเนินการจัดตั้งขึ้นตามแนวทางการประชาสัมพันธ์ที่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ มอบหมายให้ทุกจังหวัดจัดตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานของ ศปป.กอ.รมน.ภาค ๑ – ๔ และในระดับจังหวัด เพื่อประสานการปฏิบัติและสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยได้รับความร่วมมือจากพี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนงในจังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชนเมือง (อป.มช.) ร่วมเป็นคณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด โดยมีที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมพันธ์ฯอยู่ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์
นางสาวอัมพวัน เจริญกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจที่ ๑๗ ได้กล่าวขอบคุณสื่อมวลชน และให้แนวทางการประชาสัมพันธ์ที่ต้องยึดหลักความถูกต้อง ความเชื่อมั่นศรัทธาในวิชาชีพ ร่วมกันผลิตและเผยแพร่ข่าวผ่านช่องทางของสื่อต่าง ๆ ทั้งวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่จะมีส่วนทำให้ชาติไทยเรามีความสงบสุข เกิดความปรองดองสมานฉันท์ ความรัก ความสามัคคีของประชาชน ในพื้นที่ สร้างความเข้าใจกับประชาชนเพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดอง ลดความขัดแย้งในสังคม สลายสีเสื้อให้กลับมาร่วมมือ โดยยึดหลักสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ โนโอกาสนี้มีคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมแสดงความยินดีในการเปิดศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ด้วย
วันนี้ (๑๙ มิ.ย.๕๗) ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวอัมพวัน เจริญกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจที่ ๑๗ เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด ซึ่งสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ นำโดย นายภวัต ศรีสมบูรณ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ดำเนินการจัดตั้งขึ้นตามแนวทางการประชาสัมพันธ์ที่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ มอบหมายให้ทุกจังหวัดจัดตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานของ ศปป.กอ.รมน.ภาค ๑ – ๔ และในระดับจังหวัด เพื่อประสานการปฏิบัติและสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยได้รับความร่วมมือจากพี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนงในจังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชนเมือง (อป.มช.) ร่วมเป็นคณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด โดยมีที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมพันธ์ฯอยู่ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์
นางสาวอัมพวัน เจริญกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจที่ ๑๗ ได้กล่าวขอบคุณสื่อมวลชน และให้แนวทางการประชาสัมพันธ์ที่ต้องยึดหลักความถูกต้อง ความเชื่อมั่นศรัทธาในวิชาชีพ ร่วมกันผลิตและเผยแพร่ข่าวผ่านช่องทางของสื่อต่าง ๆ ทั้งวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่จะมีส่วนทำให้ชาติไทยเรามีความสงบสุข เกิดความปรองดองสมานฉันท์ ความรัก ความสามัคคีของประชาชน ในพื้นที่ สร้างความเข้าใจกับประชาชนเพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดอง ลดความขัดแย้งในสังคม สลายสีเสื้อให้กลับมาร่วมมือ โดยยึดหลักสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ โนโอกาสนี้มีคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมแสดงความยินดีในการเปิดศูนย์ประชาสัมพันธ์การสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์ด้วย
ข่าว/สุรีย์ แสงทอง สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุตรดิตถ์
ขอเชิญผู้สนใจร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีใหม่ อปท. อุตสาหกรรม สัญจร ๑๔
ขอเชิญส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และประชาชนที่สนใจ ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีใหม่ อปท. อุตสาหกรรมสัญจร ๑๔ ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ๗ – ๘ สิงหาคมนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่
บริษัทแอ๊บโซลูทท์ อัลลายแอนด์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนดจัดการสัมมนา อปท. อุตสาหกรรมสัญจร ๑๔ ภายใต้แนวคิดหลัก “วิสัยทัศน์ก้าวไกล ท้องถิ่นไทยเจริญ” ในวันที่ ๗ – ๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการพัฒนาท้องถิ่น ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา บริษัทเจ้าของนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมต่างๆ
จึงขอเชิญชวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และประชาชนที่สนใจ ร่วมการสัมมนาดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๖๖๑ ๗๗๕๐, ๐๘ ๖๓๔๕ ๖๐๕๕
บริษัทแอ๊บโซลูทท์ อัลลายแอนด์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนดจัดการสัมมนา อปท. อุตสาหกรรมสัญจร ๑๔ ภายใต้แนวคิดหลัก “วิสัยทัศน์ก้าวไกล ท้องถิ่นไทยเจริญ” ในวันที่ ๗ – ๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการพัฒนาท้องถิ่น ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา บริษัทเจ้าของนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมต่างๆ
จึงขอเชิญชวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และประชาชนที่สนใจ ร่วมการสัมมนาดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๖๖๑ ๗๗๕๐, ๐๘ ๖๓๔๕ ๖๐๕๕
ข่าวโดย : ศักดิ์สิทธิ์ กิตินันทน์
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
เชิญผู้ว่างงาน สมัครงานกับนายจ้างโดยตรง ในงาน นัดพบแรงงานสร้างอาชีพ ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ที่ ห้องประชุมสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ และสำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน
นางสาวอวยพร นันไชยกา จัดหางานจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน ได้กำหนดจัดงาน “ นัดพบแรงงานสร้างอาชีพ ” ครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 มิถุนายน 2557 ที่ ห้องประชุมสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ และ ครั้งที่ 3 วันที่ 27 มิถุนายน 2557 ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงาน เพื่อให้ผู้ว่างงานหรือผู้ประสงค์เปลี่ยนงานได้มีโอกาสสมัครงานโดยตรงกับนายจ้าง/สถานประกอบการ
ในงานจะมีการสาธิตอาชีพ พร้อมทดลองปฏิบัติจริง 10 อาชีพ อีกทั้งการรับสมัครงานของผู้มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป พร้อมเข้ารับสัมภาษณ์งานกับนายจ้างโดยตรง โดยมีตำแหน่งว่างงาน มากกว่า 1,000 อัตรา ผู้ที่สนใจให้เตรียมเอกสาร/หลักฐานการสมัคร ดังนี้ สำเนาบัตรประชาชน , สำเนาทะเบียนบ้าน , สำเนาวุฒิการศึกษา , รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 1 ใบ และหลักฐานการผ่านเกณฑ์ทหาร(ถ้ามี)
ส่วนนายจ้างหรือสถานประกอบการ สามารถแจ้งความจำนงเข้าร่วมรับสมัครงานและแจ้งตำแหน่งงาน ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน อาคารศูนย์กระทรวงแรงงาน ชั้น 1 ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน 51000 โทรศัพท์/โทรสาร 0 5352 5543-4 และ 0 5353 7701 หรือ www.lpndoe.com
ในงานจะมีการสาธิตอาชีพ พร้อมทดลองปฏิบัติจริง 10 อาชีพ อีกทั้งการรับสมัครงานของผู้มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป พร้อมเข้ารับสัมภาษณ์งานกับนายจ้างโดยตรง โดยมีตำแหน่งว่างงาน มากกว่า 1,000 อัตรา ผู้ที่สนใจให้เตรียมเอกสาร/หลักฐานการสมัคร ดังนี้ สำเนาบัตรประชาชน , สำเนาทะเบียนบ้าน , สำเนาวุฒิการศึกษา , รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 1 ใบ และหลักฐานการผ่านเกณฑ์ทหาร(ถ้ามี)
ส่วนนายจ้างหรือสถานประกอบการ สามารถแจ้งความจำนงเข้าร่วมรับสมัครงานและแจ้งตำแหน่งงาน ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน อาคารศูนย์กระทรวงแรงงาน ชั้น 1 ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน 51000 โทรศัพท์/โทรสาร 0 5352 5543-4 และ 0 5353 7701 หรือ www.lpndoe.com
ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
จังหวัดลำพูน ชี้แจงนโยบายการบริหารราชการด้านการต่างประเทศ ของ คสช. ต่อประชาชนชาวลำพูน
นายอาณัติ วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนชาวจังหวัดลำพูน ถึงนโยบายในการบริหารราชการด้านการต่างประเทศ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า คสช. จะเร่งประชาสัมพันธ์ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ เตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี ๒๕๕๘ ให้ชาวต่างชาติมีความเชื่อมั่นในทุกระบบของการบริหารทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมของประเทศไทย ที่เป็นมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับในสังคมโลก สร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศพร้อมไปกับการสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศในทุกมิติ
นอกจากนี้ จะดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ในทุกประเด็น เพื่อให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่งเสริมกิจการการลงทุน แหล่งเงินทุนจากภายนอก โดยตรวจสอบมิให้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ใด ให้มีการแข่งขันอย่างเสรี รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้คนไทยสามารถแข่งขันกับนักลงทุนต่างประเทศได้ และที่สำคัญจะไม่ให้เกิดการผูกขาดในส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ เช่น ระบบสาธารณูปโภค การสื่อสาร พลังงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ จะดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ในทุกประเด็น เพื่อให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่งเสริมกิจการการลงทุน แหล่งเงินทุนจากภายนอก โดยตรวจสอบมิให้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ใด ให้มีการแข่งขันอย่างเสรี รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้คนไทยสามารถแข่งขันกับนักลงทุนต่างประเทศได้ และที่สำคัญจะไม่ให้เกิดการผูกขาดในส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ เช่น ระบบสาธารณูปโภค การสื่อสาร พลังงาน เป็นต้น
ข่าวโดย : ศักดิ์สิทธิ์ กิตินันทน์
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
จ.ลำพูน ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่ทุกรูปแบบ พร้อมป้องปรามบุคคล สถานที่ และสื่อสังคมออนไลน์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความไม่สงบในพื้นที่
ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดลำพูน นายสุวรรณ กล่าวสุนทร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พล.ต.สุทัศน์ จารุมณี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 7 และพล.ต.ต.จรัณฐค์ วรพัฒนานันน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ร่วมกันปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน โดยการบูรณาการกำลังของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนแยก 1 จังหวัดลำพูน ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และฝ่ายปกครอง เป้าหมาย คือ การป้องกันปราบปราม ระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนกวาดล้างอาชญากรรม ได้แก่ ยาเสพติด อาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด รวมทั้งป้องปรามบุคคล สถานที่ และสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้าน หรือการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อความไม่สงบในพื้นที่ ขัดต่อเจตนารมณ์และนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเจ้าหน้าที่จะสืบสวนหาข่าว ตรวจสอบ ติดตามบุคคลและสถานที่เป้าหมาย เข้าทำการชี้แจง ทำความเข้าใจ ขอความร่วมมือให้ยุติการกระทำหรือพฤติการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยก แบ่งฝ่าย พร้อมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปรองดองสมานฉันท์ นอกจากนี้ ยังจัดชุดสืบสวน สายตรวจรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สายตรวจเดินเท้าของตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน เจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัครประชาชนในพื้นที่ ออกตรวจตราตามตำบล หมู่บ้าน ตลอดจนตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อเป็นการป้องกัน ปราบปรามและจับกุมผู้กระทำผิดดำเนินการตามกฎหมาย
ข่าวโดย : ชาลิสา วัฒนะโชติ 053525519
หน่วยงาน : สวท.ลำพูน
ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยกที่ 1 จังหวัดลำพูน หารือสื่อมวลชน ในการเสนอข่าว เพื่อเสริมสร้างความปองดอง
เมื่อตอนเย็นวานนี้ (18 มิถุนายน 2557 ) ที่ ศาลาประชาคมจังหวัดลำพูน พันเอกบุญยืน อินกว่าง เสนาธิการ กองพลทหารราบที่ 7 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยกที่ 1 จังหวัดลำพูน ได้หารือกับสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ประจำจังหวัดลำพูน ในการเสนอข่าว เผยแพร่ โดยขอความร่วมมือ ผู้สื่อข่าวได้เสนอข่าว เพื่อส่งเสริมความสามัคคี ความปรองดอง เพื่อให้เกิดความสงบสุข ทั้งนี้ขอให้ปฏิบัติตาม ประกาศของ คสช. ในการเสนอข่าว ตามข้อเท็จจริง ไม่ยุยงปลุกปั่น ไม่สร้างความแตกแยก
สำหรับประกาศของ คสช. เกี่ยวกับการเสนอข่าวมีประเด็นที่สำคัญ คือ ไม่เป็นข้อมูลเท็จ หรือ ไม่เสนอข่าวที่ส่อไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชัง ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้ง ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
สำหรับประกาศของ คสช. เกี่ยวกับการเสนอข่าวมีประเด็นที่สำคัญ คือ ไม่เป็นข้อมูลเท็จ หรือ ไม่เสนอข่าวที่ส่อไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชัง ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้ง ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดลำพูน มอบสิ่งของช่วยเหลือคุณยายวัย 83ปี ที่บ้านถูกไฟไหม้ทั้งวอดหลัง
ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดลำพูนได้รวบรวมสิ่งของเครื่องนุ่งห่ม ข้าวสารและชุดทำครัวพร้อมเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่คุณยายเรือนคำ โพธิพฤกษ์ อายุ 83 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 1 บ้านหัวฝาย ต.บ้านแป้น อ.เมือง จ.ลำพูน ที่ถูกไฟไหม้เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา
บ่ายวานนี้(18 มิถุนายน 2557) ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดลำพูนได้รวบรวมสิ่งของเครื่องนุ่งห่ม ข้าวสารและชุดทำครัวที่จำเป็นพร้อมเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่คุณยายเรือนคำ โพธิพฤกษ์ ที่บ้านถูกไฟไหม้ทั้งหลังเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557 ซึ่งบ้านหลังดังกล่าว เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกใต้ถุนสูง สร้างมากว่า 50 ปีซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่กับหลานชาย วัย 12 ขวบ โดยคุณยายได้เล่าว่าในตอนบ่ายของวันที่ 15 มิถุนายน เวลาประมาณ 14.30น. ตนได้นั่งอยู่หน้าบ้านแล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้พร้อมกับเห็นกลุ่มควันไฟลอยอกมาจากในบ้านของตน จึงได้ตะโกนเรียกเพื่อนบ้านให้เข้ามาช่วยกันดับไฟแต่ไฟก็ได้ลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็วแม้รถดับเพลิงจะมากันช่วยดับไฟก็ไม่ทันจนบ้านถูกไฟไหม้ไปทั้งหลังอย่างที่เห็น ซึ่งสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้คาดว่าอาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
บ่ายวานนี้(18 มิถุนายน 2557) ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดลำพูนได้รวบรวมสิ่งของเครื่องนุ่งห่ม ข้าวสารและชุดทำครัวที่จำเป็นพร้อมเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่คุณยายเรือนคำ โพธิพฤกษ์ ที่บ้านถูกไฟไหม้ทั้งหลังเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557 ซึ่งบ้านหลังดังกล่าว เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกใต้ถุนสูง สร้างมากว่า 50 ปีซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่กับหลานชาย วัย 12 ขวบ โดยคุณยายได้เล่าว่าในตอนบ่ายของวันที่ 15 มิถุนายน เวลาประมาณ 14.30น. ตนได้นั่งอยู่หน้าบ้านแล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้พร้อมกับเห็นกลุ่มควันไฟลอยอกมาจากในบ้านของตน จึงได้ตะโกนเรียกเพื่อนบ้านให้เข้ามาช่วยกันดับไฟแต่ไฟก็ได้ลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็วแม้รถดับเพลิงจะมากันช่วยดับไฟก็ไม่ทันจนบ้านถูกไฟไหม้ไปทั้งหลังอย่างที่เห็น ซึ่งสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้คาดว่าอาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
ข่าวโดย : เชาวรินทร์ สอนปาละ
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
จังหวัดลำพูน ชี้แจงนโยบายการบริหารราชการด้านสังคมจิตวิทยา ของ คสช. ต่อประชาชนชาวลำพูน
นายอาณัติ วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนชาวจังหวัดลำพูน ถึงนโยบายในการบริหารราชการด้านสังคมจิตวิทยา ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า คสช. จะสร้างความเข้มแข็ง ปลูกฝังทัศนคติความเป็นไทย ซึ่งมีจารีตประเพณี ประวัติศาสตร์อันงดงาม น่าภาคภูมิใจ มีศีลธรรม คุณธรรม เพื่อให้สังคมไทยมีความเข้มแข็ง เสียสละ เผื่อแผ่ แบ่งปัน อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ สามัคคี สำนึกในความเป็นคนไทยด้วยกัน ถึงแม้จะมีความคิดเห็นแตกต่าง ต้องคลี่คลายด้วยสันติวิธี
นอกจากนี้ คสช. จะปลูกฝังให้คนไทยเคารพกฎหมาย รักษาระเบียบวินัยเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายมากนัก เจ้าหน้าที่จะไม่ใช้กฎหมายมาสร้างเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากกว่าสร้างความเป็นธรรม รวมทั้งปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นต่อหน้าที่ การทำผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ
สำหรับนโยบายในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. จะให้กระบวนการยุติธรรม/กฎหมายปกติ สามารถดำเนินการได้ โดยได้รับความเชื่อถือจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขส่วนต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรมให้เข้มแข็ง เที่ยงตรง เป็นธรรมและตรวจสอบได้
นอกจากนี้ คสช. จะปลูกฝังให้คนไทยเคารพกฎหมาย รักษาระเบียบวินัยเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายมากนัก เจ้าหน้าที่จะไม่ใช้กฎหมายมาสร้างเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากกว่าสร้างความเป็นธรรม รวมทั้งปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นต่อหน้าที่ การทำผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ
สำหรับนโยบายในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. จะให้กระบวนการยุติธรรม/กฎหมายปกติ สามารถดำเนินการได้ โดยได้รับความเชื่อถือจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขส่วนต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรมให้เข้มแข็ง เที่ยงตรง เป็นธรรมและตรวจสอบได้
ข่าวโดย : ศักดิ์สิทธิ์ กิตินันทน์
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
จังหวัดลำพูน จัดเก็บข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน( จปฐ. ) ในเขตชนบท และข้อมูลพื้นฐาน ในเขตเมือง ปี 2557 เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เป้าหมายจัดเก็บข้อมูล 129,921 ครัวเรือน
เช้าวันนี้ ( 19 มิถุนายน 2557 ) ที่ ศาลากลางจังหวัดลำพูน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดลำพูน ได้จัดการประชุม คณะบริหารการจัดเก็บข้อมูลความจำเป็นพื้นที่ฐาน (จปฐ.) ในเขตชนบท และข้อมูลพื้นฐาน ในเขตเมือง จังหวัดลำพูน ปี 2557 โดยมี นายจำลอง เณรแย้ม ปลัดจังหวัดลำพูน เป็นประธาน เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อใช้ในการวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
ผลการจัดเก็บข้อมูล จังหวัดลำพูนได้รับการกำหนดครัวเรือนเป้าหมาย รวมทั้งสิ้น 8 อำเภอ 129,921ครัวเรือน สามารถจัดเก็บและบันทึกประมวลผลฯ ได้ จำนวน 112,572 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 86.65 แยกออกเป็น ฐานข้อมูลพื้นฐาน (จปฐ.) เป้าหมาย 8 อำเภอ 44 ตำบล 497 หมู่บ้าน 101,913 ครัวเรือน สามารถจัดเก็บและบันทึกประมวลผลฯ ได้ 89 ,720 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 88.04 และข้อมูลพื้นฐาน ปี 2557 เป้าหมาย 7 อำเภอ 13 ตำบล 113 หมู่บ้าน/ชุมชน 28,008 ครัวเรือน สามารถจัดเก็บและบันทึกประมวลผลฯ ได้ 22,852 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 81.59 โดยรายได้เฉลี่ยในปี 2557 ประชาชนจังหวัดลำพูน มีรายได้เฉลี่ยคนละ 72,648 บาทต่อปี ส่วนใหญ่มีผลการประมวลผลที่สูงขึ้น
ผลการจัดเก็บข้อมูล จังหวัดลำพูนได้รับการกำหนดครัวเรือนเป้าหมาย รวมทั้งสิ้น 8 อำเภอ 129,921ครัวเรือน สามารถจัดเก็บและบันทึกประมวลผลฯ ได้ จำนวน 112,572 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 86.65 แยกออกเป็น ฐานข้อมูลพื้นฐาน (จปฐ.) เป้าหมาย 8 อำเภอ 44 ตำบล 497 หมู่บ้าน 101,913 ครัวเรือน สามารถจัดเก็บและบันทึกประมวลผลฯ ได้ 89 ,720 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 88.04 และข้อมูลพื้นฐาน ปี 2557 เป้าหมาย 7 อำเภอ 13 ตำบล 113 หมู่บ้าน/ชุมชน 28,008 ครัวเรือน สามารถจัดเก็บและบันทึกประมวลผลฯ ได้ 22,852 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 81.59 โดยรายได้เฉลี่ยในปี 2557 ประชาชนจังหวัดลำพูน มีรายได้เฉลี่ยคนละ 72,648 บาทต่อปี ส่วนใหญ่มีผลการประมวลผลที่สูงขึ้น
ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน
จังหวัดลำปาง ประชุมเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาอุทกภัย และดินโคลนถล่มประจำปี 2557
(19 มิ.ย.57) เช้าวันนี้ ที่ ห้องประชุมศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่32 นายฤทธิพงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พอ.ชัยณรงค์ แกล้วกล้า รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 พ.ต.อ.ธนพล ภาระพงษ์ จาก ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาอุทกภัย และดินโคลนถล่มประจำปี 2557 เพื่อทำความเข้าใจและซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติ หากเกิดภัยจะสามารถช่วยเหลือได้ทันต่อเหตุการณ์
หลังจากนั้น ได้ประชุมเตรียมการฝึกซ้อมแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ในพื้นที่เสี่ยงภัย ตำบลบ้านขอ อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ซึ่งกำหนดฝึกปฏิบัติการจริงในพื้นที่ วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนมีความเข้าใจในหลักการ ขั้นตอน และวิธีการปฏิบัติ สามารถจัดการสาธารณภัยได้อย่างทันท่วงที ที่มีภัยเกิดขึ้น อีกทั้งประชาชนจะได้เข้าใจและสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในเบื้องต้น
ในโอกาสเดียวกันนี้ ได้ตรวจความพร้อมเครื่องจักรกล อุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่ม รวมทั้งกำลังพล เพื่อประเมินศักยภาพและความรวดเร็วในทางปฏิบัติสร้างความเข้าใจให้ประชาชน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม จำนวน 40 หน่วยงาน
หลังจากนั้น ได้ประชุมเตรียมการฝึกซ้อมแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ในพื้นที่เสี่ยงภัย ตำบลบ้านขอ อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ซึ่งกำหนดฝึกปฏิบัติการจริงในพื้นที่ วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนมีความเข้าใจในหลักการ ขั้นตอน และวิธีการปฏิบัติ สามารถจัดการสาธารณภัยได้อย่างทันท่วงที ที่มีภัยเกิดขึ้น อีกทั้งประชาชนจะได้เข้าใจและสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในเบื้องต้น
ในโอกาสเดียวกันนี้ ได้ตรวจความพร้อมเครื่องจักรกล อุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่ม รวมทั้งกำลังพล เพื่อประเมินศักยภาพและความรวดเร็วในทางปฏิบัติสร้างความเข้าใจให้ประชาชน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม จำนวน 40 หน่วยงาน
ข่าวโดย : ปัณธวัฒน์ ทวีพรจิรภาคย์
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
สมาคมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปางเปิดจัดอบรมและสอบเพื่อรับประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น
นายสมชาย ปราระกานนท์ นายกสมาคมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ด้วยในสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น หากเหตุการณ์นั้นมีความหนักหน่วงสิ่งที่ได้รับความเสียหายมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสถานที่อาคารบ้านเรือนถนนหนทาง การคมนาคมมีความลำบากหรือถูกตัดขาด การติดต่อสื่อสารเป็นอีกหนึ่งที่ได้รับความเสียหาย เมื่อการติดต่อสื่อสารถูกตัดขาด การติดต่อสื่อสารมีเพียงวิทยุสื่อสารเท่านั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจในการติดต่อสื่อสารด้วยวิทยุสื่อสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน หรือมีเหตุภัยพิบัติ และเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติอันอาจจะเกิดขึ้นได้ สถานีควบคุมข่ายวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปาง
โดยสมาคมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ให้ดำเนินการจัดอบรมและสอบเพื่อรับประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น ในวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2557 ผู้สนใจสมัครสอบ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ สมาคมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปาง โทร.08-7175-2023
โดยสมาคมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ให้ดำเนินการจัดอบรมและสอบเพื่อรับประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น ในวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2557 ผู้สนใจสมัครสอบ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ สมาคมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดลำปาง โทร.08-7175-2023
ข่าวโดย : ปัณธวัฒน์ ทวีพรจิรภาคย์
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง ขอเชิญร่วมกิจกรรม "ดำนาปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้แผ่นดิน"
นายชัยณรงค์ กาฬมณี เกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ด้วยทางจังหวัดลำปาง ได้กำหนดจัดกิจกรรมและสนับสนุนความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปจังหวัดลำปาง “สัปดาห์คนลำปาง ฮักกั๋นแต้หนา” ระหว่างวันที่ 21-27 มิถุนายน 2557 โดยในวันที่ 25 มิถุนายน 2557 เป็นการจัดกิจกรรม “ดำนาปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้แผ่นดิน” เพื่อเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี ความปรองดองของคนในชาติให้กลับมาเหมือนเดิม
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง จึงขอเชิญชวน เกษตรกร และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกิจกรรม “ดำนาปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้แผ่นดิน” ในวันพุธที่ 25 มิถุนายน 2557 เวลา 09.00 น. ณ แปลงนาเกษตร บ้านทุ่งม่านเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านเป้า อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง จึงขอเชิญชวน เกษตรกร และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกิจกรรม “ดำนาปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้แผ่นดิน” ในวันพุธที่ 25 มิถุนายน 2557 เวลา 09.00 น. ณ แปลงนาเกษตร บ้านทุ่งม่านเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านเป้า อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
ข่าวโดย : ปัณธวัฒน์ ทวีพรจิรภาคย์
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
คณะสงฆ์ จ.ลำปาง จัดการประชุมสัมมนา ถวายองค์ความรู้แด่พระสังฆาธิการในพื้นที่ เพื่อเพิ่มเติมเสริมทักษะ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองของสงฆ์
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำปาง ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดลำปาง จัดการประชุมสัมมนา "พระสังฆาธิการ ประจำปีพุทธศักราช 2557" ที่ ศาลาสิริกตบุญประชาสรรค์ วัดพระเจดีย์ซาวหลัง พระอารามหลวง ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง มีพระเดชพระคุณ พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 6 ได้ให้ความเมตตามาเป็นประธานพิธี เปิดการประชุมสัมมนา โดยมีพระราชจินดานายก เจ้าคณะจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และผู้แทนจากหน่วยงานด้านศาสนาและด้านวัฒนธรรม นำพวงมาลัยธูปเทียนแพ พร้อมด้วยเครื่องสักการะ เข้าร่วมถวายเพื่อเป็นการต้อนรับ โดยในการประชุมมีคณะพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส และหัวหน้าที่พักสงฆ์ จากพื้นที่อำเภอต่างๆ ทั้ง 13 อำเภอ ใน จ.ลำปาง รวมกว่า 700 รูป เข้าร่วมการประชุมสัมมนาโดยพร้อมเพรียงกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส และหัวหน้าที่พักสงฆ์ นับเป็นบุคลากรทางพระพุทธศาสนาที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในงานพระพุทธศาสนาเป็นลำดับแรกๆ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นผู้บริหารกิจการของวัด ภายใต้ภารกิจหลัก 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ สาธารณสงเคราะห์ และการสาธารณูปการ ประกอบกับได้มีมติของมหาเถรสมาคม ที่ 143/2546 กำหนดให้เจ้าคณะจังหวัด จัดประชุมพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองเป็นประจำทุกปีๆ ละ 2 ครั้ง ดังนั้นคณะสงฆ์จังหวัดลำปาง จึงได้จัดการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ขึ้น เพื่อสนองงานตามมติของมหาเถรสมาคม และเพื่อให้พระสังฆาธิการในพื้นที่ ได้เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ทำการทบทวนการปฏิบัติงานที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อศึกษาข้อบังคับของพระธรรมวินัย จารีตประเพณี กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ มติและประกาศของมหาเถรสมาคม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ ทักษะความสามารถ เพิ่มประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ รวมทั้งเพื่อให้งานในพระพุทธศาสนาสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีทิศทางการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกภาพ อันจะก่อให้เกิดความสมัคสมาน สามัคคีปรองดองในหมู่คณะสงฆ์
สำหรับการประชุมสัมมนาดังกล่าว ได้มีการบรรยายถวายองค์ความรู้ทางด้านวิชาการแก่พระสังฆาธิการทุกรูป โดยได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณ พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 6 เป็นองค์บรรยายถวายความรู้ในเรื่อง “ระเบียบวิธีปฏิบัติในหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์” และเรื่อง “งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สร้างความปรองดองสมานฉันท์” พร้อมกันนี้ยังได้รับความเมตตาจาก พระราชจินดานายก เจ้าคณะจังหวัดลำปาง ร่วมเป็นองค์บรรยายถวายความรู้ในเรื่อง “สถานการณ์พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ดูคลิป http://youtu.be/PP6e4TIOdss
ทั้งนี้ เนื่องจากพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส และหัวหน้าที่พักสงฆ์ นับเป็นบุคลากรทางพระพุทธศาสนาที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในงานพระพุทธศาสนาเป็นลำดับแรกๆ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นผู้บริหารกิจการของวัด ภายใต้ภารกิจหลัก 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ สาธารณสงเคราะห์ และการสาธารณูปการ ประกอบกับได้มีมติของมหาเถรสมาคม ที่ 143/2546 กำหนดให้เจ้าคณะจังหวัด จัดประชุมพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองเป็นประจำทุกปีๆ ละ 2 ครั้ง ดังนั้นคณะสงฆ์จังหวัดลำปาง จึงได้จัดการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ขึ้น เพื่อสนองงานตามมติของมหาเถรสมาคม และเพื่อให้พระสังฆาธิการในพื้นที่ ได้เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ทำการทบทวนการปฏิบัติงานที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อศึกษาข้อบังคับของพระธรรมวินัย จารีตประเพณี กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ มติและประกาศของมหาเถรสมาคม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ ทักษะความสามารถ เพิ่มประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ รวมทั้งเพื่อให้งานในพระพุทธศาสนาสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีทิศทางการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกภาพ อันจะก่อให้เกิดความสมัคสมาน สามัคคีปรองดองในหมู่คณะสงฆ์
สำหรับการประชุมสัมมนาดังกล่าว ได้มีการบรรยายถวายองค์ความรู้ทางด้านวิชาการแก่พระสังฆาธิการทุกรูป โดยได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณ พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 6 เป็นองค์บรรยายถวายความรู้ในเรื่อง “ระเบียบวิธีปฏิบัติในหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์” และเรื่อง “งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สร้างความปรองดองสมานฉันท์” พร้อมกันนี้ยังได้รับความเมตตาจาก พระราชจินดานายก เจ้าคณะจังหวัดลำปาง ร่วมเป็นองค์บรรยายถวายความรู้ในเรื่อง “สถานการณ์พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ดูคลิป http://youtu.be/PP6e4TIOdss
ข่าวโดย : นายชาญณรงค์ ปันเต
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง
ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดโครงการ "ร่วมใจไกล่เกลี่ย"
ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดโครงการ "ร่วมใจไกล่เกลี่ย" เพื่อเสริมสร้างสนับสนุนการระงับข้อพิพาททางเลือก
นายสุทธิศักดิ์ สุขบุญพันธ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน แจ้งว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้กำหนดจัดพิธีเปิดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสนับสนุนการระงับข้อพิพาททางเลือก โดยเฉพาะด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในสังคม ก่อให้เกิดความปรองดอง สมานฉันท์ รู้รักสามัคคี และมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ในกิจกรรมมีการบรรยายกฎหมาย/ตอบปัญหากฎหมาย โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึก เปิดโอกาสให้คู่ความได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากผู้พิพากษาได้โดยตรง อันเป็นวิธีการระงับข้อพิพาททางเลือกอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดผลดีแก่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและราชการศาลยุติธรรม เนื่องจากคดีที่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและสมานฉันท์สำเร็จ จะมีส่วนทำให้ปริมาณคดีที่อยู่ในศาลลดลง บังเกิดผลดี ต่อคู่ความและศาลยุติธรรม
ในโอกาสนี้ ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้จัดกิจกรรมการประกวดร้องเพลงประสานเสียง บทเพลง “แผ่นดินทอง” เพื่อแสดงถึงความพร้อมเพรียง สามัคคี ปรองดอง และการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพอีด้วย ทีมนักเรียนโรงเรียนเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน และทีมโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน ทีมละ ๕ คน เข้าร่วมการประกวดได้รับรางวัลชนะเลิศ คะแนนเท่ากัน ทีมละ ๑,๐๐๐ บาท พร้อมของที่ระลึก
นายสุทธิศักดิ์ สุขบุญพันธ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน แจ้งว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้กำหนดจัดพิธีเปิดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสนับสนุนการระงับข้อพิพาททางเลือก โดยเฉพาะด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในสังคม ก่อให้เกิดความปรองดอง สมานฉันท์ รู้รักสามัคคี และมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ในกิจกรรมมีการบรรยายกฎหมาย/ตอบปัญหากฎหมาย โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึก เปิดโอกาสให้คู่ความได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากผู้พิพากษาได้โดยตรง อันเป็นวิธีการระงับข้อพิพาททางเลือกอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดผลดีแก่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและราชการศาลยุติธรรม เนื่องจากคดีที่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและสมานฉันท์สำเร็จ จะมีส่วนทำให้ปริมาณคดีที่อยู่ในศาลลดลง บังเกิดผลดี ต่อคู่ความและศาลยุติธรรม
ในโอกาสนี้ ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้จัดกิจกรรมการประกวดร้องเพลงประสานเสียง บทเพลง “แผ่นดินทอง” เพื่อแสดงถึงความพร้อมเพรียง สามัคคี ปรองดอง และการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพอีด้วย ทีมนักเรียนโรงเรียนเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน และทีมโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน ทีมละ ๕ คน เข้าร่วมการประกวดได้รับรางวัลชนะเลิศ คะแนนเท่ากัน ทีมละ ๑,๐๐๐ บาท พร้อมของที่ระลึก
ข่าวโดย : อ่อนศรี ศรีอัมพร ทีมข่าว ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
ประชุมตามโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการสูบุหรี่ในที่สาธารณะ
สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ จัดประชุมตามโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการสูบุหรี่ในที่สาธารณะ
เช้าวันนี้ ( 19 มิถุนายน 2557) ภาคีเครือข่ายองค์กรงดเหล้าร่วมกับหลายหน่วยงานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดประชุมตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการสูบุหรี่ในที่สาธารณะ ที่สำนักงานสาธารณสุขจ.แม่ฮ่องสอนเพื่อร่วมกันหาแนวทางดำเนินการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดบุหรี่ ในพื้นที่แม่ฮ่องสอน สำหรับแนวทางการควบคุมการบริโภคยาสูบได้แก่ -การขึ้นภาษีบุหรี่ รวมถึงการปรับเพดานและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง -การควบคุมการเข้าถึง เช่นการห้ามแบ่งขายยาสูบเป็นมวน การกำหนดให้ผับ / บาร์ปลอดบุหรี่ ห้ามจำหน่ายบุหรี่ในระยะ 500 เมตรจากสถานศึกษาและศาสนสถาน -การควบคุมพฤติกรรมของผู้เสพและการคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่เสพเช่น การบังคับใช้จริงจังให้สถานที่สาธารณะเป็นเขตปลอดบุหรี่ -การควบคุมการโฆษณาเช่น การห้ามหน่วยราชการรับการสนับสนุนจากบริษัททุกกรณี / การห้ามบริษัทอุปถัมภ์รายการต่างๆหรือห้ามเผยแพร่ภาพข่าวการสนับสนุนจากบริษัทบุหรี่ / เพิ่มมาตรการจำกัดการโฆษณาทางสื่อทุกชนิด / เพิ่มข้อความคำเตือนในฉลากคำเตือนหรือภาพคำเตือน -มาตรการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และพัฒนาภาคีเครือข่าย -มาตรการพัฒนาและบังคับใช้กฎหมาย ในที่ประชุมเครือข่ายเสนอให้คณะสงฆ์เป็นแกนนำรณรงค์ให้วัดปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง พร้อมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนลด ละ เลิกการสูบบุหรี่ และไม่สูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ ควบคู่กับการรณรงค์สร้างความตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ในแก่เด็กและเยาชน
เช้าวันนี้ ( 19 มิถุนายน 2557) ภาคีเครือข่ายองค์กรงดเหล้าร่วมกับหลายหน่วยงานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดประชุมตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการสูบุหรี่ในที่สาธารณะ ที่สำนักงานสาธารณสุขจ.แม่ฮ่องสอนเพื่อร่วมกันหาแนวทางดำเนินการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดบุหรี่ ในพื้นที่แม่ฮ่องสอน สำหรับแนวทางการควบคุมการบริโภคยาสูบได้แก่ -การขึ้นภาษีบุหรี่ รวมถึงการปรับเพดานและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง -การควบคุมการเข้าถึง เช่นการห้ามแบ่งขายยาสูบเป็นมวน การกำหนดให้ผับ / บาร์ปลอดบุหรี่ ห้ามจำหน่ายบุหรี่ในระยะ 500 เมตรจากสถานศึกษาและศาสนสถาน -การควบคุมพฤติกรรมของผู้เสพและการคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่เสพเช่น การบังคับใช้จริงจังให้สถานที่สาธารณะเป็นเขตปลอดบุหรี่ -การควบคุมการโฆษณาเช่น การห้ามหน่วยราชการรับการสนับสนุนจากบริษัททุกกรณี / การห้ามบริษัทอุปถัมภ์รายการต่างๆหรือห้ามเผยแพร่ภาพข่าวการสนับสนุนจากบริษัทบุหรี่ / เพิ่มมาตรการจำกัดการโฆษณาทางสื่อทุกชนิด / เพิ่มข้อความคำเตือนในฉลากคำเตือนหรือภาพคำเตือน -มาตรการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และพัฒนาภาคีเครือข่าย -มาตรการพัฒนาและบังคับใช้กฎหมาย ในที่ประชุมเครือข่ายเสนอให้คณะสงฆ์เป็นแกนนำรณรงค์ให้วัดปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง พร้อมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนลด ละ เลิกการสูบบุหรี่ และไม่สูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ ควบคู่กับการรณรงค์สร้างความตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ในแก่เด็กและเยาชน
ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว
หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน
โครงการเส้นทางจักรยานเที่ยวเมืองแม่สะเรียง ประจำปี 2557 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแม่ฮ่องสอน จัดโครงการเส้นทางจักรยานเที่ยวเมืองแม่สะเรียง พื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
เย็นวันนี้ ( 19 มิถุนายน 2557 ) นายเล็ก ศรีเรือง นายอำเภอแม่สะเรียง เป็นประธานเปิดโครงการเส้นทางจักรยานเที่ยวเมืองแม่สะเรียง ที่บริเวณลานหน้าพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน เพื่อสร้างความเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับจังหวัดแม่ฮ่องสอนมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี กิจกรรมท้องถิ่น ร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด รวมถึงสนับสนุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องในท้องถิ่น ได้แก่ ธุรกิจที่พักแรม ร้านอาหาร รถจักรยานให้เช่า เพื่อเปิดโอกาสสร้างรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้เกิดการใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียงต่อไป ผู้ร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานเที่ยวเมืองแม่สะเรียง จะแวะไหว้พระที่วัดจันทราวาส หรือวัดมันตะเล วัดศรีบุญเรือง วัดอุทยารมณ์ วัดสุพรรณรังสี วัดกิตติวงศ์ และวัดสิทธิมงคล ชมพระอาทิตย์ตกดินที่บริเวณจุดชมวิวริมแม่น้ำยวม
เย็นวันนี้ ( 19 มิถุนายน 2557 ) นายเล็ก ศรีเรือง นายอำเภอแม่สะเรียง เป็นประธานเปิดโครงการเส้นทางจักรยานเที่ยวเมืองแม่สะเรียง ที่บริเวณลานหน้าพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน เพื่อสร้างความเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับจังหวัดแม่ฮ่องสอนมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี กิจกรรมท้องถิ่น ร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด รวมถึงสนับสนุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องในท้องถิ่น ได้แก่ ธุรกิจที่พักแรม ร้านอาหาร รถจักรยานให้เช่า เพื่อเปิดโอกาสสร้างรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้เกิดการใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียงต่อไป ผู้ร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานเที่ยวเมืองแม่สะเรียง จะแวะไหว้พระที่วัดจันทราวาส หรือวัดมันตะเล วัดศรีบุญเรือง วัดอุทยารมณ์ วัดสุพรรณรังสี วัดกิตติวงศ์ และวัดสิทธิมงคล ชมพระอาทิตย์ตกดินที่บริเวณจุดชมวิวริมแม่น้ำยวม
ข่าวโดย : วาสนา ไข่แก้ว สวท.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดเวทีจัดการองค์ความรู้ประเพณีอายธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนาน
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดเวทีจัดการองค์ความรู้ประเพณีอายธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนานครั้งที่ 1
เช้าวันนี้ (19 มิถุนายน 2557 ) นางศันสนีย์ พุกกานนท์ วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดเวที จัดการองค์ความรู้ประเพณีอายธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนานครั้งที่ 1 ที่ วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน โดยมีสมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมจาก 7 อำเภอเข้าร่วม 50 คน เพื่อค้น ตำนานมรดกทางประเพณีวัฒนธรรม ที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด มาสร้างองค์ความรู้ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน กิจกรรมในงานประกอบด้วย การนำเสนอ การจัดองค์ความรู้ประเพณี อารยธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนาน โดย ดร. ขวัญนภา สุขคร ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้ง ลำปาง และระดมความคิดเห็นเพื่อบ่งชี้ และแสวงหาความรู้ประเพณีอารยธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนาน หลังจากนั้น มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อระดมความคิดรวบรวมประเพณี 4 ด้านซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วย ด้านความเชื่อ ด้านศาสนา ด้านวิถีชีวิต และ ด้าน การทำมาหากิน แล้ว ร่วมกันคัดเลือกมาประเพณีละด้าน เพื่อนำไปจัดการองค์ความรู้ต่อไป
เช้าวันนี้ (19 มิถุนายน 2557 ) นางศันสนีย์ พุกกานนท์ วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดเวที จัดการองค์ความรู้ประเพณีอายธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนานครั้งที่ 1 ที่ วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน โดยมีสมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมจาก 7 อำเภอเข้าร่วม 50 คน เพื่อค้น ตำนานมรดกทางประเพณีวัฒนธรรม ที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด มาสร้างองค์ความรู้ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน กิจกรรมในงานประกอบด้วย การนำเสนอ การจัดองค์ความรู้ประเพณี อารยธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนาน โดย ดร. ขวัญนภา สุขคร ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้ง ลำปาง และระดมความคิดเห็นเพื่อบ่งชี้ และแสวงหาความรู้ประเพณีอารยธรรมล้านนา และเรื่องราวตำนาน หลังจากนั้น มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อระดมความคิดรวบรวมประเพณี 4 ด้านซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วย ด้านความเชื่อ ด้านศาสนา ด้านวิถีชีวิต และ ด้าน การทำมาหากิน แล้ว ร่วมกันคัดเลือกมาประเพณีละด้าน เพื่อนำไปจัดการองค์ความรู้ต่อไป
ข่าวโดย : เวียงสอน ดอนแก้ว / ทีมข่าว สวท.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน
เกิดอุบัติเหตุรถตกหลุมลึกติดทั้งคืน ถนนสายบ้านหัวน้ำแม่สะกึด-ห้วยปูลิง ชาวบ้านเลี่ยงใช้เส้นทางสายวัดจันทร์-อำเภอปาย
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2557 นายบุญเพิ่ม ทองดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ได้แจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ตกหลุมลึกบริเวณเส้นทางถนนสายแยก 108 อำเภอเมือง ไปยังตำบลห้วยปูลิง
ภายหลังทราบข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ติดอยู่กลางถนน ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปดูพื้นที่ ซึ่งพบว่าจุดที่เกิดเหตุเป็นช่วงที่เป็นดินลูกรังและมีร่องลึกอยู่กลางถนน ประกอบกับเป็นทางขึ้นเขาโค้งหักศอก ทำให้รถยนต์ที่วิ่งขึ้นเขาเสียหลักตกหลุมลึกไม่สามารถวิ่งได้ติดอยู่กลางถนนตลอดทั้งคืน ทำให้รถยนต์ชาวบ้านที่วิ่งเข้าออกระหว่างตำบลห้วยปูลิงกับอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนต้องกลับไปใช้เส้นทางไปวัดจันทร์-อำเภอปาย และเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เว้นแต่รถจักรยานยนต์เท่านั้นที่วิ่งไปมาได้
นายบุญเพิ่มเล่าว่าเมื่อตอนเย็นของวันที่ 18 ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลห้วยปูลิงเพื่อเข้าไปในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน พอมาถึงที่เกิดเหตุเป็นเวลาที่ฝนกำลังตกอย่างหนัก ประกอบกับที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งต้องเร่งเครื่องยนต์เพื่อจะให้ขึ้นเขาสูงปรากฏว่าข้างหน้ามีหลุมลึกอยู่ฝั่งขวามือ ทำให้ล้อรถยนต์ด้านหลังตกลงไปยังหลุมจนไม่สามารถวิ่งได้ และติดอยู่ตลอดทั้งคืน ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารได้เนื่องจากอยู่กลางป่าและเป็นหุบเขา จนรุ่งเช้ามีชาวบ้านผ่านมาพบจึงได้ขอความช่วยเหลือแจ้งให้ไปติดต่อรถมาลากจูงขึ้นจากหลุมจนถึงเวลาประมาณ 14.30 น.จึงสามารถนำรถออกจากจุดที่เกิดเหตุได้
นายบุญเพิ่ม กล่าวอีกว่า เส้นทางสายแยก 108 อำเภอเมือง – ตำบลห้วยปูลิง ระยะทางประมาณ 40-50 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่เป็นดินลูกรัง จะมีบางช่วงที่เป็นถนนลาดยางและคอนกรีต ทำให้การเดินทางในช่วงหน้าฝนเป็นไปด้วยความลำบาก ต้องใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง บางครั้งการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลต้องใช้การแบกหามเป็นระยะๆ รถยนต์ที่วิ่งก็จะต้องติดโซ่ที่ล้อด้วยเพื่อป้องกันการลื่นไหล
สำหรับถนนสายแยก 108 อำเภอเมือง-ตำบลห้วยปูลิง เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้เดินขบวนร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาแล้วครั้งหนึ่งเพื่อขอให้ทางการปรับเส้นทางดังกล่าว ซึ่งผู้ว่ารับปากที่จะดำเนินการให้โดยผ่านทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดและทางหลวงชนบท แต่พอมาปีกลับปรากฏว่าเส้นทางดังกล่าวยังคงเหมือนเดิมไม่มีการปรับปรุงแต่อย่างใด
ภายหลังทราบข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ติดอยู่กลางถนน ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปดูพื้นที่ ซึ่งพบว่าจุดที่เกิดเหตุเป็นช่วงที่เป็นดินลูกรังและมีร่องลึกอยู่กลางถนน ประกอบกับเป็นทางขึ้นเขาโค้งหักศอก ทำให้รถยนต์ที่วิ่งขึ้นเขาเสียหลักตกหลุมลึกไม่สามารถวิ่งได้ติดอยู่กลางถนนตลอดทั้งคืน ทำให้รถยนต์ชาวบ้านที่วิ่งเข้าออกระหว่างตำบลห้วยปูลิงกับอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนต้องกลับไปใช้เส้นทางไปวัดจันทร์-อำเภอปาย และเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เว้นแต่รถจักรยานยนต์เท่านั้นที่วิ่งไปมาได้
นายบุญเพิ่มเล่าว่าเมื่อตอนเย็นของวันที่ 18 ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลห้วยปูลิงเพื่อเข้าไปในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน พอมาถึงที่เกิดเหตุเป็นเวลาที่ฝนกำลังตกอย่างหนัก ประกอบกับที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งต้องเร่งเครื่องยนต์เพื่อจะให้ขึ้นเขาสูงปรากฏว่าข้างหน้ามีหลุมลึกอยู่ฝั่งขวามือ ทำให้ล้อรถยนต์ด้านหลังตกลงไปยังหลุมจนไม่สามารถวิ่งได้ และติดอยู่ตลอดทั้งคืน ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารได้เนื่องจากอยู่กลางป่าและเป็นหุบเขา จนรุ่งเช้ามีชาวบ้านผ่านมาพบจึงได้ขอความช่วยเหลือแจ้งให้ไปติดต่อรถมาลากจูงขึ้นจากหลุมจนถึงเวลาประมาณ 14.30 น.จึงสามารถนำรถออกจากจุดที่เกิดเหตุได้
นายบุญเพิ่ม กล่าวอีกว่า เส้นทางสายแยก 108 อำเภอเมือง – ตำบลห้วยปูลิง ระยะทางประมาณ 40-50 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่เป็นดินลูกรัง จะมีบางช่วงที่เป็นถนนลาดยางและคอนกรีต ทำให้การเดินทางในช่วงหน้าฝนเป็นไปด้วยความลำบาก ต้องใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง บางครั้งการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลต้องใช้การแบกหามเป็นระยะๆ รถยนต์ที่วิ่งก็จะต้องติดโซ่ที่ล้อด้วยเพื่อป้องกันการลื่นไหล
สำหรับถนนสายแยก 108 อำเภอเมือง-ตำบลห้วยปูลิง เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้เดินขบวนร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาแล้วครั้งหนึ่งเพื่อขอให้ทางการปรับเส้นทางดังกล่าว ซึ่งผู้ว่ารับปากที่จะดำเนินการให้โดยผ่านทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดและทางหลวงชนบท แต่พอมาปีกลับปรากฏว่าเส้นทางดังกล่าวยังคงเหมือนเดิมไม่มีการปรับปรุงแต่อย่างใด
ข่าวโดย : สมาน ต้นใส / สวศ.แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวศ. แม่ฮ่องสอน
หน่วยงาน : สวศ. แม่ฮ่องสอน
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ อบรมเชิงปฏิบัติการมารยาทไทย
จังหวัดแพร่โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ อบรมเชิงปฏิบัติการมารยาทไทย
เวลา 09.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2557 ที่ห้องไอยรา โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ นายศักดิ์ชัย จ.ผลิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ มารยาทไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ แบบแผน แนวปฏิบัติด้านมารยาทไทยที่ถูกต้อง เพื่อสร้างครูต้นแบบมารยาทไทย สามารถส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้มีความรู้และจิตสำนึกและร่วมอนุรักษ์ส่งเสริมคุณค่าด้านมารยาทไทย
รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่กล่าวว่า เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่ามารยาทไทย เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของคนไทย โดยเฉพาะการไหว้ซึ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่กล่าวถึงโดยทั่งไปว่า ไม่มีใครจะแสดงความคารวะอ่อนน้อมได้เหมือนคนไทย ความนอบน้อม ความเคารพผู้อาวุโส รวมถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เสน่ห์ของความเป็นไทยเกิดจากการบ่มเพาะอุปนิสัยเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก สังคมปัจจุบันอาจทำให้ความดีงามในอดีตงามเปลี่ยนไป ซึ่งผู้ที่เข้าอบรมครั้งนี้คือผู้ที่ใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชน ที่จะสามารถนำความรู้ ข้อมูลจากการอบรมไปขยายผล ทั้งในเรื่องของการปรับปรุงตนให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ การแสดงมารยาท การเคารพนอบน้อม และเรื่องที่ดีงามของมารยาทไทย
การอบรมเชิงปฏิบัติการมารยาทครั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาแพร่เขต 1 จำนวน 43 คน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 3 คน และสังกัดกรมอาชีวศึกษา จำนวน 2 คน สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่ 19 มิถุนายน 2557
เวลา 09.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2557 ที่ห้องไอยรา โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ นายศักดิ์ชัย จ.ผลิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ มารยาทไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ แบบแผน แนวปฏิบัติด้านมารยาทไทยที่ถูกต้อง เพื่อสร้างครูต้นแบบมารยาทไทย สามารถส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้มีความรู้และจิตสำนึกและร่วมอนุรักษ์ส่งเสริมคุณค่าด้านมารยาทไทย
รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่กล่าวว่า เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่ามารยาทไทย เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของคนไทย โดยเฉพาะการไหว้ซึ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่กล่าวถึงโดยทั่งไปว่า ไม่มีใครจะแสดงความคารวะอ่อนน้อมได้เหมือนคนไทย ความนอบน้อม ความเคารพผู้อาวุโส รวมถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เสน่ห์ของความเป็นไทยเกิดจากการบ่มเพาะอุปนิสัยเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก สังคมปัจจุบันอาจทำให้ความดีงามในอดีตงามเปลี่ยนไป ซึ่งผู้ที่เข้าอบรมครั้งนี้คือผู้ที่ใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชน ที่จะสามารถนำความรู้ ข้อมูลจากการอบรมไปขยายผล ทั้งในเรื่องของการปรับปรุงตนให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ การแสดงมารยาท การเคารพนอบน้อม และเรื่องที่ดีงามของมารยาทไทย
การอบรมเชิงปฏิบัติการมารยาทครั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาแพร่เขต 1 จำนวน 43 คน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 3 คน และสังกัดกรมอาชีวศึกษา จำนวน 2 คน สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่ 19 มิถุนายน 2557
จังหวัดแพร่ คืนความสุขสู่ประชาชนออกให้บริการประชาชนในเชิงรุก ตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่
จังหวัดแพร่คืนความสุขสู่ประชาชน นำส่วนราชการลงให้บริการเข้าสู่ประชาชน ตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหน่วย บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่รายงานว่า วันนี้(19 มิ.ย.57) ที่โรงเรียนบ้านปากกาง หมู่ 2 ตำบลปากกาง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่เป็นประธานนำคณะส่วนราชการ องค์กรการกุศล มูลนิธิ และภาคเอกชน ลงพื้นที่ออกให้บริการประชาชนเชิงรุกตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหน่วย บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน คืนความสุขสู่ประชาชน ตามโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมกันนี้ได้มอบเงินสงเคราะห์แก่ผู้ด้อยโอกาส มอบรถเข็นคนพิการ มอบถุงยังชีพแก่ประชาชน นอกจากนี้ยังมีส่วนราชการไปให้บริการประชาชนด้านต่างๆ การสาธิตการประกอบอาชีพ การจัดนิทรรศการ การแนะแนวอาชีพ การให้คำปรึกษาด้านต่างแล้วยังมีการประชุมรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง
สำหรับพื้นที่ตำบลปากกางนั้น ส่วนใหญ่ประสบปัญหาในเรื่องน้ำโดยได้เสนอขอให้จังหวัดช่วยเหลือในเรื่องการสร้างฝาย และการสูบน้ำพลังงานไฟฟ้า โดยผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่กล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำว่าจะดำเนินการเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำในการประกอบอาชีพโดยเฉพาะการเกษตรจะต้องดำเนินการได้มากกว่าเดิม
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่รายงานว่า วันนี้(19 มิ.ย.57) ที่โรงเรียนบ้านปากกาง หมู่ 2 ตำบลปากกาง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่เป็นประธานนำคณะส่วนราชการ องค์กรการกุศล มูลนิธิ และภาคเอกชน ลงพื้นที่ออกให้บริการประชาชนเชิงรุกตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหน่วย บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน คืนความสุขสู่ประชาชน ตามโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมกันนี้ได้มอบเงินสงเคราะห์แก่ผู้ด้อยโอกาส มอบรถเข็นคนพิการ มอบถุงยังชีพแก่ประชาชน นอกจากนี้ยังมีส่วนราชการไปให้บริการประชาชนด้านต่างๆ การสาธิตการประกอบอาชีพ การจัดนิทรรศการ การแนะแนวอาชีพ การให้คำปรึกษาด้านต่างแล้วยังมีการประชุมรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง
สำหรับพื้นที่ตำบลปากกางนั้น ส่วนใหญ่ประสบปัญหาในเรื่องน้ำโดยได้เสนอขอให้จังหวัดช่วยเหลือในเรื่องการสร้างฝาย และการสูบน้ำพลังงานไฟฟ้า โดยผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่กล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำว่าจะดำเนินการเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำในการประกอบอาชีพโดยเฉพาะการเกษตรจะต้องดำเนินการได้มากกว่าเดิม
ฉัตรชัย พวงขจร / ข่าว /พิมพ์
จังหวัดพะเยา ปล่อยแถวชุดปฏิบัติการออกระดมกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติดตามนโยบาย คสช.
เมื่อเย็นวานนี้ (18 มิ.ย.57) นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยพล.ต.ชัยวัฒน์ ธนารุณ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพะเยา , และพล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา เป็นประธานปล่อยแถวชุดปฏิบัติการออกระดมกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติด ณ ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา โดยมีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร กองร้อย อส. และสมาชิกอาสาสมัครตำรวจบ้าน จำนวน 1,000 นาย ออกปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมยาเสพติด อาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด และสิ่งของผิดกฎหมายต่างๆ ทุกอำเภอในพื้นที่จังหวัดพะเยา ระหว่างวันที่ 18 – 24 มิถุนายน 2557 เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เร่งรัดให้ทุกจังหวัดดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันยังปรากฏข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นต่างและมีแนวโน้มที่จะระดมแนวร่วมมวลชนออกมาเคลื่อนไหวหรือจัดกิจกรรมในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปรองดองสมานฉันท์ จังหวัดพะเยาจึงได้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกระดมกวาดล้าง ปิดล้อมตรวจค้น และจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย รวมถึงการสร้างความเข้าใจอันดีกับประชาชนให้มีความรัก สามัคคี ปรองดองสมานฉันท์ และร่วมแรงร่วมใจกันทำให้สังคมเป็นปกติสุข คืนความสุขให้คนในชาติ
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันยังปรากฏข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นต่างและมีแนวโน้มที่จะระดมแนวร่วมมวลชนออกมาเคลื่อนไหวหรือจัดกิจกรรมในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปรองดองสมานฉันท์ จังหวัดพะเยาจึงได้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกระดมกวาดล้าง ปิดล้อมตรวจค้น และจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย รวมถึงการสร้างความเข้าใจอันดีกับประชาชนให้มีความรัก สามัคคี ปรองดองสมานฉันท์ และร่วมแรงร่วมใจกันทำให้สังคมเป็นปกติสุข คืนความสุขให้คนในชาติ
ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ
หน่วยงาน : สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์พะเยา จัดงานวันเกียรติยศ พร้อมพิธีประดับเครื่องหมายและหมวกเครื่องแบบราชพิธี ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และปีที่ 4 ใหม่
เช้าวันนี้ (19 มิ.ย.57) นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานในพิธีวันเกียรติยศ ประจำปี 2557 ของโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพะเยาในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ หอประชุมอาคารเฉลิมหล้าจอมราชันโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์พะเยา อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา เพื่อให้นักเรียนได้แสดงพลังความดี ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนมีระเบียบวินัย มีความรัก สามัคคี เทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระศรีนครินทร์ทราบรมราชชนนีที่ทรงมีต่อการศึกษาของชาติ ในโอกาสนี้ได้มีพิธีประดับเครื่องหมายและหมวกเครื่องแบบราชพิธีให้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ใหม่) พร้อมทั้งมอบเกียรติบัตรให้กับครู และนักเรียนที่มีผลงานดีเด่น โดยมีผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพะเยา , ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา , นายก อบจ.พะเยา , ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรภูกามยาว , ผู้บังคับหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารจังหวัดทหารบกพะเยา , นายอำเภอภูกามยาว ตอลดจนหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารโรงเรียน คณะครู ผู้ปกครอง และนักเรียนโรงเรียน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์พะเยาเข้าร่วมในพิธี โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและซาบซึ้ง
สำหรับโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์พะเยา เป็นโรงเรียนในโครงการพิเศษของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีเขตพื้นที่บริการ 8 จังหวัดภาคเหนือ มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้เป็นผู้มีคุณภาพและเจริญรอยตามพระจริยวัตรของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยในปีการศึกษา 2557 นี้ทางโรงเรียนมีนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 138 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ใหม่ จำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 153 คน
สำหรับโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์พะเยา เป็นโรงเรียนในโครงการพิเศษของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีเขตพื้นที่บริการ 8 จังหวัดภาคเหนือ มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้เป็นผู้มีคุณภาพและเจริญรอยตามพระจริยวัตรของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยในปีการศึกษา 2557 นี้ทางโรงเรียนมีนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 138 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ใหม่ จำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 153 คน
ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ
หน่วยงาน : สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา
ทหาร ปกครอง อ.ภูกามยาว จัดกิจกรรมสร้างความสุขให้ชาวนา
วันนี้ (19 มิ.ย.57) ที่ลานกลางทุ่ง บ้านกว๊านเหนือ ม.4 ต.ดงเจน อ.ภูกามยาว จ.พะเยา นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่ารากชารจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย พล.ต.ชัยวัฒน์ ธนารุณ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพะเยาในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดทหารบกพะเยา ได้ร่วมกันเปิดเวทีสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้ชาวนา ซึ่ง อำเภอภูกามยา ร่วมกับจังหวัดทหารบกพะเยา จัดขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ปรองดองในชาติ ตามนโยบายของ คสช.
พร้อมกันนี้ได้มีการมอบปุ๋ยอินทรีย์ให้กับเกษตรกร และทำพิธีมอบลำเหมืองร่องเหี้ย ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์จากลำเหมืองดังกล่าว 350 ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่ทางการเกษตร 1,500 ไร่ รวมถึงมีการดำนาข้าวร่วมกับชาวนา เพื่อเป็นการสร้างขวัญ และกำลังใจให้กับชาวนาอีกด้วย
พร้อมกันนี้ได้มีการมอบปุ๋ยอินทรีย์ให้กับเกษตรกร และทำพิธีมอบลำเหมืองร่องเหี้ย ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์จากลำเหมืองดังกล่าว 350 ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่ทางการเกษตร 1,500 ไร่ รวมถึงมีการดำนาข้าวร่วมกับชาวนา เพื่อเป็นการสร้างขวัญ และกำลังใจให้กับชาวนาอีกด้วย
ข่าวโดย : ทีมข่าว ส.ปชส.พะเยา
หน่วยงาน : ส.ปชส.พะเยา
หน่วยงาน : ส.ปชส.พะเยา
จังหวัดลำพูน ชี้แจงนโยบายการบริหารราชการด้านสังคมจิตวิทยา ของ คสช. ต่อประชาชนชาวลำพูน
วันนี้ (19 มิ.ย.57) นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่ารากชารจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย พล.ต.ชัยวัฒน์ ธนารุณ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพะเยา ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดทหารบกพะเยา ,พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา , นายวรวิทย์ บุรณศิริ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา เปิดเวทีสร้างความปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ชาวนา ณ ลานกลางทุ่ง บ้านกว๊านเหนือ ม.4 ต.ดงเจน อ.ภูกามยาว จ.พะเยา ซึ่งอำเภอภูกามยาว ร่วมกับจังหวัดทหารบกพะเยาจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนในพื้นที่ตามนโยบายของ คสช.
นอกจากนี้ผู้ว่ารากชารจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพะเยา ร่วมกันทำพิธีมอบลำเหมืองร่องเหี้ย โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากลำเหมืองดังกล่าว จำนวน 350 ครัวเรือน หรือคิดเป็นพื้นที่ทางการเกษตร จำนวน 1,500 ไร่ อีกทั้งยังได้ทำการมอบปุ๋ยอินทรีย์ให้กับเกษตรกร และร่วมดำนาข้าวกับพี่น้องชาวนา เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรชาวนาอีกด้วย
นอกจากนี้ผู้ว่ารากชารจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพะเยา ร่วมกันทำพิธีมอบลำเหมืองร่องเหี้ย โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากลำเหมืองดังกล่าว จำนวน 350 ครัวเรือน หรือคิดเป็นพื้นที่ทางการเกษตร จำนวน 1,500 ไร่ อีกทั้งยังได้ทำการมอบปุ๋ยอินทรีย์ให้กับเกษตรกร และร่วมดำนาข้าวกับพี่น้องชาวนา เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรชาวนาอีกด้วย
ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ
หน่วยงาน : สวท.พะเยา
หน่วยงาน : สวท.พะเยา
คสช. เน้นเสริมสร้างขีดความสามารถการผลิตข้าวไทยด้วยการลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาคุณภาพข้าว ด้าน ธ.ก.ส. สนับสนุนเงินทุนและลดดอกเบี้ยแก่ชาวนา
คสช. เน้นเสริมสร้างขีดความสามารถการผลิตข้าวไทยด้วยการลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาคุณภาพข้าว ด้าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนเงินทุนและลดดอกเบี้ยแก่ชาวนา
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้นโยบายเกี่ยวกับการผลิตข้าวในหลายด้าน ทั้งให้ราคาข้าวเป็นไปตามกลไกตลาด โดยไม่มีโครงการจำนำข้าว หรือ ประกันราคาข้าว แต่มุ่งสร้างขีดความสามารถของข้าวไทยด้วยการลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาคุณภาพข้าว ให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตข้าว ข้อมูลการตลาดแก่ชาวนา ส่งเสริมระบบสหกรณ์กรมีความเข้มแข็ง รวมถึงให้ภาครัฐช่วยลดความเสี่ยงให้ชาวนา เช่น จัดให้มีแหล่งเงินทุนเพียงพอ จัดระบบน้ำเพื่อการทำนาอย่างทั่วถึง พร้อมตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว เพื่อดูแลการจัดการข้าวของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการประชุมหารือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องข้าวเพื่อร่วมกำหนดแนวทางช่วยเหลือชาวนา ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มอบหมาย โดยเบื้องต้นมีแนวทางตรงกันให้ชาวนาพึ่งพาตนเองได้ ด้วยการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้พัฒนาการปลูกข้าวโดยลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ชาวนาซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกทั้ง ผู้ประกอบการจะลดอัตราค่าเช่าที่ดินทำนา ลดราคาปัจจัยการผลิตข้าว คาดว่าจะลดต้นทุนการผลิตราคาได้ไร่ละ 432 บาท คิดเป็นร้อยละ 10 ของต้นทุนการผลิตข้าวต่อ 1 ไร่ ขณะที่ ธ.ก.ส.จะใช้แนวทางการสนับสนุนเงินทุนให้ชาวนาอย่างเพียงพอ และลดอัตราดอกเบี้ยให้ เพื่อลดภาระทางการเงินแก่ชาวนา คิดเป็นการลดต้นทุนการผลิตข้าวได้ประมาณไร่ละ 150 บาท โดยในช่วงที่มีผลผลิตข้าวออกมาเป็นจำนวนมาก ธ.ก.ส.จะออกสินเชื่อเพิ่มเติมแก่ชาวนาเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือก โดยจะนำแนวทางดังกล่าวเสนอต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้มีการนำไปพิจารณาเป็นแนวทางเพื่อช่วยเหลือชาวนาต่อไป
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้นโยบายเกี่ยวกับการผลิตข้าวในหลายด้าน ทั้งให้ราคาข้าวเป็นไปตามกลไกตลาด โดยไม่มีโครงการจำนำข้าว หรือ ประกันราคาข้าว แต่มุ่งสร้างขีดความสามารถของข้าวไทยด้วยการลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาคุณภาพข้าว ให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตข้าว ข้อมูลการตลาดแก่ชาวนา ส่งเสริมระบบสหกรณ์กรมีความเข้มแข็ง รวมถึงให้ภาครัฐช่วยลดความเสี่ยงให้ชาวนา เช่น จัดให้มีแหล่งเงินทุนเพียงพอ จัดระบบน้ำเพื่อการทำนาอย่างทั่วถึง พร้อมตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว เพื่อดูแลการจัดการข้าวของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการประชุมหารือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องข้าวเพื่อร่วมกำหนดแนวทางช่วยเหลือชาวนา ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มอบหมาย โดยเบื้องต้นมีแนวทางตรงกันให้ชาวนาพึ่งพาตนเองได้ ด้วยการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้พัฒนาการปลูกข้าวโดยลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ชาวนาซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกทั้ง ผู้ประกอบการจะลดอัตราค่าเช่าที่ดินทำนา ลดราคาปัจจัยการผลิตข้าว คาดว่าจะลดต้นทุนการผลิตราคาได้ไร่ละ 432 บาท คิดเป็นร้อยละ 10 ของต้นทุนการผลิตข้าวต่อ 1 ไร่ ขณะที่ ธ.ก.ส.จะใช้แนวทางการสนับสนุนเงินทุนให้ชาวนาอย่างเพียงพอ และลดอัตราดอกเบี้ยให้ เพื่อลดภาระทางการเงินแก่ชาวนา คิดเป็นการลดต้นทุนการผลิตข้าวได้ประมาณไร่ละ 150 บาท โดยในช่วงที่มีผลผลิตข้าวออกมาเป็นจำนวนมาก ธ.ก.ส.จะออกสินเชื่อเพิ่มเติมแก่ชาวนาเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือก โดยจะนำแนวทางดังกล่าวเสนอต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้มีการนำไปพิจารณาเป็นแนวทางเพื่อช่วยเหลือชาวนาต่อไป
พวงพยอม คำมุง
อธิบดีกรมที่ดิน มอบโฉนดที่ดินให้แก่ราษฎรในพื้นที่อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน จำนวน 250 แปลง
ที่ศาลาประชาคมอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน นายพินิจ หาญพาณิชย์ อธิบดรกรมที่ดิน เป็นประธานพิธีมอบโฉนดที่ดินให้แก่ราษฎรในพื้นที่จังหวัดน่านจำนวน 250 แปลง โดยมี นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายทินกร ชัยดี นายอำเภอท่าวังผา และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ กรมที่ดินได้จัดทำโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินครอบคลุมทั่วประเทศ ประจำปี 2557 ในพื้นที่เป้าหมาย 57 จังหวัดทั่วประเทศ และในวันนี้ ได้มอบโฉนดที่ดินให้กับราษฎรในพื้นที่ตำบลริม และตำบลผาตอ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน จำนวน 150 แปลง การมอบโฉนดที่ดินเป็นการคืนความสุขให้แก่ราษฎร เนื่องจากโฉนดที่ดินเป็นหลักประกันความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้ราษฎรมีแรงจูงใจที่จะปรับปรุงและพัฒนาที่ดินของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และยังเป็นการช่วยระงับข้อพิพาทในเรื่องแนวเขตที่ดินสร้างความปองดองและความสมานฉันท์ได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 87 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วประเทศต่างร่วมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายด้านที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยมีเป้าหมายในการสร้างความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทย มีเป้าหมายในการเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิที่ดินทำกินให้กับราษฎร และเพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระมหากรุณาต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ โครงการ "มอบโฉนดที่ดินสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงเทิดพระบารมีพ่อหลวง”เพื่อน้อมถวายพระองค์ท่าน โดยมีการมอบโฉนดที่ดินตามโครงการดังกล่าวมา ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 เป็นต้นมา ซึ่งพื้นที่จังหวัดน่าน มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ จำนวน 4 สาย สำรวจเป้าหมายดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 2,880 แปลง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2557 มีการสำรวจรังวัดไปแล้วจำนวน 2,345 แปลงเหลือระยะดำเนินการในภาคสนามไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 จากสถิติผลการสำรวจรังวัดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 ถึงปลายเดือน พฤษภาคม 2557 โดยคาดว่าจะได้ผลงานเกินกว่าเป้าหมาย โดยมีการมอบโฉนดที่ดินไปแล้วจำนวน 1,117 แปลง
ในโอกาสนี้ นายพินิจ หาญพาณิชย์ อธิบดรกรมที่ดิน ได้ร่วมกับ นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายทินกร ชัยดี นายอำเภอท่าวังผา และคณะผู้บริหาร กรมพัฒนาที่ดิน ได้มอบโฉนดที่ดินให้กับราษฎร จำนวน 146 แปลง เนื้อที่ประมาณ 149 ไร่ คิดเป็นมูลค่าที่ดิน ประมาณ 8,800,000 บาท ให้แก่ ราษฎรหมู่ที่ 1,2,3 ของตำบลผาตอ อำเภอท่าวังผา จำนวน 126 แปลง และมอบที่ดินให้ราษฎรหมู่ 5 ตำบลริม อำเภอท่าวังผา จำนวน 20 แปลง รวม 150 ราย ตามโครงการมอบโฉนดที่ดินสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงเทิดพระบารมีพ่อหลวง” ทั้งนี้ เพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระองค์ท่าน
ทั้งนี้ กรมที่ดินได้จัดทำโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินครอบคลุมทั่วประเทศ ประจำปี 2557 ในพื้นที่เป้าหมาย 57 จังหวัดทั่วประเทศ และในวันนี้ ได้มอบโฉนดที่ดินให้กับราษฎรในพื้นที่ตำบลริม และตำบลผาตอ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน จำนวน 150 แปลง การมอบโฉนดที่ดินเป็นการคืนความสุขให้แก่ราษฎร เนื่องจากโฉนดที่ดินเป็นหลักประกันความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้ราษฎรมีแรงจูงใจที่จะปรับปรุงและพัฒนาที่ดินของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และยังเป็นการช่วยระงับข้อพิพาทในเรื่องแนวเขตที่ดินสร้างความปองดองและความสมานฉันท์ได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 87 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วประเทศต่างร่วมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายด้านที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยมีเป้าหมายในการสร้างความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทย มีเป้าหมายในการเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิที่ดินทำกินให้กับราษฎร และเพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระมหากรุณาต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ โครงการ "มอบโฉนดที่ดินสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงเทิดพระบารมีพ่อหลวง”เพื่อน้อมถวายพระองค์ท่าน โดยมีการมอบโฉนดที่ดินตามโครงการดังกล่าวมา ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 เป็นต้นมา ซึ่งพื้นที่จังหวัดน่าน มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ จำนวน 4 สาย สำรวจเป้าหมายดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 2,880 แปลง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2557 มีการสำรวจรังวัดไปแล้วจำนวน 2,345 แปลงเหลือระยะดำเนินการในภาคสนามไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 จากสถิติผลการสำรวจรังวัดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 ถึงปลายเดือน พฤษภาคม 2557 โดยคาดว่าจะได้ผลงานเกินกว่าเป้าหมาย โดยมีการมอบโฉนดที่ดินไปแล้วจำนวน 1,117 แปลง
ในโอกาสนี้ นายพินิจ หาญพาณิชย์ อธิบดรกรมที่ดิน ได้ร่วมกับ นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายทินกร ชัยดี นายอำเภอท่าวังผา และคณะผู้บริหาร กรมพัฒนาที่ดิน ได้มอบโฉนดที่ดินให้กับราษฎร จำนวน 146 แปลง เนื้อที่ประมาณ 149 ไร่ คิดเป็นมูลค่าที่ดิน ประมาณ 8,800,000 บาท ให้แก่ ราษฎรหมู่ที่ 1,2,3 ของตำบลผาตอ อำเภอท่าวังผา จำนวน 126 แปลง และมอบที่ดินให้ราษฎรหมู่ 5 ตำบลริม อำเภอท่าวังผา จำนวน 20 แปลง รวม 150 ราย ตามโครงการมอบโฉนดที่ดินสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงเทิดพระบารมีพ่อหลวง” ทั้งนี้ เพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระองค์ท่าน
19 มิถุนายน 2557
สมาน สุทำแปง/ภาพ/ข่าว
สมาน สุทำแปง/ภาพ/ข่าว
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกจังหวัดน่าน
นายแพทย์ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน เตือนขณะนี้ได้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่จังหวัดน่าน จากสถานการณ์โรคไข้เลือดออกของจังหวัดน่าน ตั้งแต่เดือนมกราคม – 7 มิถุนายน 2557 พบผู้ป่วยไข้เลือดออก ทุกกลุ่มอาการจำนวน 153 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต อำเภอที่มีผู้ป่วยไข้เลือดออกสูงสุด 5 ลำดับแรก คือ อำเภอเวียงสา 86 ราย, อำเภอเมืองน่าน 79 ราย, อำเภอปัว 7 ราย, อำเภอนาน้อย 6 ราย, และ อำเภอท่าวังผา 4 ราย ตามลำดับ และคาดว่าจะมีแนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศมีฝนตกในช่วงนี้
ทั้งนี้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน ได้กำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้มีความพร้อมรับมือการระบาดที่คาดว่าจะมีมากขึ้น เพราะเข้าสู่ฤดูฝน ป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด พร้อมเน้นให้ประชาชนทุกกลุ่มวัย หากมีไข้สูงเกิน 2 วัน ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ ให้คิดถึงอาจเป็นไข้เลือดออก รีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตกว่าร้อยละ 70 ไปพบแพทย์ช้า ให้ทุกอำเภอที่พบผู้ป่วยตั้งแต่ 2 ตำบลขึ้นไปได้เปิดการประชุม (War room) ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต สถานการณ์ขณะนี้ ยังพบว่ามีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้น พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จึงกำชับให้ทุกพื้นที่เพิ่มความเข้มข้นในการกำจัดลูกน้ำยุงลาย ส่วนใหญ่พบลูกน้ำในภาชนะบรรจุน้ำใช้ ซึ่งช่วงนี้โรงเรียนต่าง ๆ เปิดเทอมแล้ว คาดว่าอาจมีการระบาดเพิ่มของไข้เลือดออกได้ เป้าหมายในการดำเนินการควบคุมโรคไข้เลือดออกในช่วงนี้ จะเน้นหนักที่โรงเรียนโดยได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้เร่งกำจัดยุงลายในทุกโรงเรียนและจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และ ให้อาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.ออกสำรวจ และกระตุ้นให้ประชาชนกำจัดลูกน้ำในบ้านและชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่พบผู้ป่วยขอให้ดำเนินการอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่ในหมู่บ้านเพิ่มอีก ใช้มาตรการ 5 ป 1ข (ปิดภาชนะ/ เปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน/ ปล่อยปลากินลูกน้ำ /ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม/ ปฏิบัติเป็นนิสัย และ ขัดล้างไข่ยุงลาย )
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า ปัญหาที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ ก็คือ ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกมักจะชะล่าใจ คิดว่าโรคไข้เลือดออกจะเป็นเฉพาะในเด็ก เมื่อเป็นไข้มักจะคิดไปเองว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา จนทำให้อาการรุนแรง เพราะโรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ และยาปฏิชีวนะใช้ฆ่าเชื้อชนิดนี้ไม่ได้ จะไปพบแพทย์ก็ต่อเมื่อมีอาการหนักหรืออาการรุนแรงมากขึ้น จึงขอย้ำเตือนประชาชนทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากเป็นไข้และมีอาการหนึ่งอาการใดดังต่อไปนี้คือ เป็นไข้แล้วไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน หรือมีอาการท้องเสีย อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไม่มีอาการไอและน้ำมูก ขอให้นึกถึงโรคไข้เลือดออก และให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ทั้งนี้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน ได้กำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้มีความพร้อมรับมือการระบาดที่คาดว่าจะมีมากขึ้น เพราะเข้าสู่ฤดูฝน ป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด พร้อมเน้นให้ประชาชนทุกกลุ่มวัย หากมีไข้สูงเกิน 2 วัน ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ ให้คิดถึงอาจเป็นไข้เลือดออก รีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตกว่าร้อยละ 70 ไปพบแพทย์ช้า ให้ทุกอำเภอที่พบผู้ป่วยตั้งแต่ 2 ตำบลขึ้นไปได้เปิดการประชุม (War room) ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต สถานการณ์ขณะนี้ ยังพบว่ามีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้น พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จึงกำชับให้ทุกพื้นที่เพิ่มความเข้มข้นในการกำจัดลูกน้ำยุงลาย ส่วนใหญ่พบลูกน้ำในภาชนะบรรจุน้ำใช้ ซึ่งช่วงนี้โรงเรียนต่าง ๆ เปิดเทอมแล้ว คาดว่าอาจมีการระบาดเพิ่มของไข้เลือดออกได้ เป้าหมายในการดำเนินการควบคุมโรคไข้เลือดออกในช่วงนี้ จะเน้นหนักที่โรงเรียนโดยได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้เร่งกำจัดยุงลายในทุกโรงเรียนและจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และ ให้อาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.ออกสำรวจ และกระตุ้นให้ประชาชนกำจัดลูกน้ำในบ้านและชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่พบผู้ป่วยขอให้ดำเนินการอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่ในหมู่บ้านเพิ่มอีก ใช้มาตรการ 5 ป 1ข (ปิดภาชนะ/ เปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน/ ปล่อยปลากินลูกน้ำ /ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม/ ปฏิบัติเป็นนิสัย และ ขัดล้างไข่ยุงลาย )
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า ปัญหาที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ ก็คือ ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกมักจะชะล่าใจ คิดว่าโรคไข้เลือดออกจะเป็นเฉพาะในเด็ก เมื่อเป็นไข้มักจะคิดไปเองว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา จนทำให้อาการรุนแรง เพราะโรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ และยาปฏิชีวนะใช้ฆ่าเชื้อชนิดนี้ไม่ได้ จะไปพบแพทย์ก็ต่อเมื่อมีอาการหนักหรืออาการรุนแรงมากขึ้น จึงขอย้ำเตือนประชาชนทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากเป็นไข้และมีอาการหนึ่งอาการใดดังต่อไปนี้คือ เป็นไข้แล้วไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน หรือมีอาการท้องเสีย อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไม่มีอาการไอและน้ำมูก ขอให้นึกถึงโรคไข้เลือดออก และให้รีบไปพบแพทย์ทันที
พวงพยอม คำมุง / ข่าว
ประชุมจัดงานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
หม่อมหลวงปนัดดา ดิสกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักพระราชวัง กระทรวงมหาดไทย และกองทัพไทย เพื่อเตรียมจัดงานพระศพสมเด็จพระสังฆราช ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กำชับให้เร่งดำเนินการและให้เป็นไปตามแผนงานที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ ได้รับการยืนยันว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานที่ปรึกษาในการจัดงานและในโอกาสต่อไป จะมีการประชุมหารือเพื่อกำหนดวันที่เหมาะสมในการจัดงานประกอบพระราชพิธี เบื้องต้นกำหนดไว้ในเดือนพฤศจิกายน แต่ล่าสุดได้รับแจ้งว่าการซ่อมแซมพลับพลาพระราชพิธี อาจไม่เสร็จตามกำหนดเวลา จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจต้องเลื่อนงานออกไปเป็นปีหน้า เนื่องจากเดือนธันวาคมจะงดจัดกิจกรรม เพราะต้องการให้เป็นเดือนแห่งความสุข ทั้งนี้ได้กำชับให้ใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส รอบคอบ ไม่มากเกินความจำเป็น
พวงพยอม คำมุง
กรมศิลปากร เร่งดำเนินการบูรณะซ่อมแซมราชรถในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
กรมศิลปากร เร่งดำเนินการบูรณะซ่อมแซมราชรถในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก คืบหน้าไปกว่าร้อยละ 50 คาดแล้วเสร็จในเดือนกันยายนนี้
นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยความคืบหน้าการบูรณะซ่อมแซมราชรถพระนำ และราชรถเชิญพระโกศ เพื่อใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า สำนักช่างสิบหมู่ ได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมราชรถไปแล้วกว่าร้อยละ 50 โดยได้รับความร่วมมือจากกรมป่าไม้ นำไม้มีค่ามามอบให้เพื่อใช้สำหรับการบูรณะราชรถทั้งหมด โดยจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนนี้ และล่าสุดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรี อนุมัติงบประมาณเพื่อใช้ในการบูรณะราชรถและบูรณะแบบซ่าง ที่เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กว่า 3 ล้าน 9 แสนบาท ซึ่งการออกแบบและบูรณะซ่าง อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ส่วนการบันทึกจดหมายเหตุของสมเด็จพระสังฆราช นั้น อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการบันทึกรายละเอียด นับตั้งแต่วันแรกที่สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์จนถึงปัจจุบัน โดยจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะแล้วเสร็จ ส่วนการจัดแสดงมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุได้มอบหมายให้สำนักการสังคีต จัดเตรียมการแสดงแล้ว และอยู่ระหว่างการหารือการจัดชุดการแสดงต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมกำหนดการงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพอย่างเป็นทางการ
นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยความคืบหน้าการบูรณะซ่อมแซมราชรถพระนำ และราชรถเชิญพระโกศ เพื่อใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า สำนักช่างสิบหมู่ ได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมราชรถไปแล้วกว่าร้อยละ 50 โดยได้รับความร่วมมือจากกรมป่าไม้ นำไม้มีค่ามามอบให้เพื่อใช้สำหรับการบูรณะราชรถทั้งหมด โดยจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนนี้ และล่าสุดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรี อนุมัติงบประมาณเพื่อใช้ในการบูรณะราชรถและบูรณะแบบซ่าง ที่เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กว่า 3 ล้าน 9 แสนบาท ซึ่งการออกแบบและบูรณะซ่าง อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ส่วนการบันทึกจดหมายเหตุของสมเด็จพระสังฆราช นั้น อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการบันทึกรายละเอียด นับตั้งแต่วันแรกที่สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์จนถึงปัจจุบัน โดยจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะแล้วเสร็จ ส่วนการจัดแสดงมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุได้มอบหมายให้สำนักการสังคีต จัดเตรียมการแสดงแล้ว และอยู่ระหว่างการหารือการจัดชุดการแสดงต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมกำหนดการงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพอย่างเป็นทางการ
พวงพยอม คำมุง
นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จัดแรลลี่หา RC ชิงถ้วย หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล
นักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จัดกิจกรรมแรลลี่ปั่นจักรยาน หา RC Green life Bike Rally เฉลิมฉลอง 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ ผู้ชนะเลิศรับถ้วยเกียรติยศ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมเงินรางวัล ในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2557 เวลา 06.00 น. ณ ลานหน้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยในวาระ ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพในโครงการ Green Life Bike Rally เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ แถลงโดย นายพลศรัณย์ ศันยทิพย์ ผู้ช่วยคณบดีคณะวิทยาการจัดการ ฝ่ายกิจการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กล่าวว่า ในโอกาสที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปี ในปี พ.ศ. 2557 นักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ ภาคพิเศษเสาร์-อาทิตย์ จัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เน้นย้ำการเป็นบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพออกสู่สังคมมาอย่างยาวนาน ตามแนวคิดที่ว่า “มุ่งผลิตบัณฑิตให้ถึงพร้อมด้วยปัญญาและคุณธรรม” ในโครงการ “Green life Bike Rally เฉลิมฉลอง 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของสาขาวิชานิเทศศาสตร์” ในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2557 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ณ ลานหน้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 เป็นเงินรางวัล 9,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, อันดับ 2 รับเงินรางวัล 6,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และอันดับ 3 รับเงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล
โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งสมทบกองทุนคณะวิทยาการจัดการเพื่อใช้ในการส่งเสริมการศึกษาของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ท่านที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมติดต่อซื้อบัตรราคา 400 บาท/ทีม (ทีมละ 2 คน) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 09-4710-1665 ,08-6188-8918
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยในวาระ ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพในโครงการ Green Life Bike Rally เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ แถลงโดย นายพลศรัณย์ ศันยทิพย์ ผู้ช่วยคณบดีคณะวิทยาการจัดการ ฝ่ายกิจการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กล่าวว่า ในโอกาสที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปี ในปี พ.ศ. 2557 นักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ ภาคพิเศษเสาร์-อาทิตย์ จัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เน้นย้ำการเป็นบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพออกสู่สังคมมาอย่างยาวนาน ตามแนวคิดที่ว่า “มุ่งผลิตบัณฑิตให้ถึงพร้อมด้วยปัญญาและคุณธรรม” ในโครงการ “Green life Bike Rally เฉลิมฉลอง 90 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของสาขาวิชานิเทศศาสตร์” ในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2557 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ณ ลานหน้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 เป็นเงินรางวัล 9,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, อันดับ 2 รับเงินรางวัล 6,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และอันดับ 3 รับเงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล
โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งสมทบกองทุนคณะวิทยาการจัดการเพื่อใช้ในการส่งเสริมการศึกษาของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ท่านที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมติดต่อซื้อบัตรราคา 400 บาท/ทีม (ทีมละ 2 คน) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 09-4710-1665 ,08-6188-8918
ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/พรไพลิน นุชเครือ
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
กลุ่มผู้พำนักระยะยาวชาวเกาหลีในจังหวัดเชียงใหม่ขอบคุณประเทศไทย 64 ปี สงครามเกาหลี
กลุ่มผู้พำนักระยะยาวชาวเกาหลีในจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกันรวมกลุ่ม Long Stay เกาหลี ได้ทำความร่วมมือผ่านสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพเชียงใหม่เพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยในวาระขอบคุณประเทศไทย 64 ปี สงครามเกาหลี แถลงโดย นางโศภิต พนมอุปถัมภ์ กรรมการสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพ ฝ่ายงานต่างประเทศ ที่ปรึกษากลุ่ม Long Stay เกาหลี ในจังหวัดเชียงใหม่ และ อาจารย์คิม ซอน กุก ประธาน กลุ่ม Long Stay เกาหลี ในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า กลุ่มผู้พำนักระยะยาวชาวเกาหลีในจังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นโดย อาจารย์ คิม แท มิน (Kim tae Min) คริสเตียนชาวเกาหลีใต้ ผู้พำนักอยู่ในประเทศไทย มากกว่า 25 ปี ด้วยความชื่นชม กลมกลืนกับวัฒนธรรมไทยและภารกิจที่เป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อพัฒนาชนบทตามความตั้งใจของท่านและครอบครัว โดยการตั้งมูลนิธิขึ้นถึงสองมูลนิธิ คือมูลนิธิ พระคุณนิรันดร์ และ มูลนิธิ พระพรใหม่ และอาจารย์ ซอน กุก คิม (Kim Seon Gook) เพื่อนรุ่นน้องที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน โดยอาจารย์ ซอน กุก คิม ได้ตั้งมูลนิธิเชียงใหม่จุงอัง และคริสจักรขึ้น เพื่อดูแลเพื่อนชาวเกาหลีที่มาพำนักในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์ ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 300 คน ประกอบอาชีพหลากหลายและช่วยประสานงานการดูแลความเป็นอยู่โดยทั่วไป นอกจากนั้น ยังมีชาวเกาหลีอีกจำนวนหนึ่ง ที่เข้ามาพำนักระยะยาวในเชียงใหม่ประเทศไทย ประมาณ 1,500 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1. เป็นกลุ่มเด็กนักเรียนนักศึกษาตามโรงเรียนนานาชาติ 2. กลุ่มผู้ อวุโสมาพักช่วงเกษียณราชการ 3. กลุ่มผู้ทำธุรกิจทั่วไป
การดำเนินชีวิตของชาวเกาหลีในเชียงใหม่และในประเทศไทย เป็นไปด้วยความไม่เข้าใจทั้งภาษาวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ทั้งๆที่ความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศดำเนินมาเป็นเวลายาวนาน การจัดกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ทางวัฒนธรรมก็มีน้อยมาก ดังนั้นชาวเกาหลีส่วนหนึ่งที่มีใจรักและอยากมีชีวิตบนผืนแผ่นดินไทยอย่างสงบเรียบร้อย ทั้งในการประกอบกิจการงาน และการดำเนินชีวิตทั่วไป จึงได้ร่วมกันรวมกลุ่มเป็นกลุ่ม Long Stay เกาหลีและได้ทำความร่วมมือผ่านสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพเชียงใหม่ โดยมีนางโศภิต พนมอุปถัมภ์ กรรมการสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพเชียงใหม่ และประธานบริษัท GnG Wave (Thai) Co.,Ltd เป็นผู้ประสานงานและที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศต่อไป
พันธกิจของกลุ่ม Long Stay เกาหลีในช่วงที่ผ่านมา 1. จัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับพี่น้องเกาหลีในเชียงใหม่ 2. จัดโอกาสการศึกษาวัฒนธรรมของคนไทยให้กับพี่น้องเกาหลีเพื่อสร้างความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม 3. จัดโอกาสให้คนไทยศึกษาวัฒนธรรมเกาหลีเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสร้างความสัมพันธ์ 4. จัดโอกาสให้พี่น้องเกาหลีมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยากจน ด้อยโอกาสให้มีที่อยู่อาศัย 5. ช่วยสนับสนุนคริสตจักรท้องถิ่นของพี่น้องคนไทย ช่วยสร้างอาคาร ที่จัดกิจกรรม นมัสการ จัดกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน 6. จัดโอกาสให้พี่น้องเกาหลีที่อยู่เกาหลีมาทัศนศึกษาที่ประเทศไทย ศึกษาสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม 7. จัดงานดนตรีคอนเสิร์ตเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม 8. ช่วยจัดพื้นที่สำหรับที่อาศัยของผู้ที่อาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ 9. จัดกิจกรรมสอนภาษาเกาหลีสำหรับอนุชนที่อาศัยในเชียงใหม่ 10. ร่วมสนับสนุนกิจกรรมและโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ เช่น โรงเรียนแม่แฮเหนือ 11. สนับสนุนศูนย์อพยพที่จังหวัดตาก ด้านอุปกรณ์การศึกษา กีฬา นันทนาการ 12. ช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนนักศึกษา 13. จัดโอกาสให้ผู้นำคนไทยในคริสตจักรไปทัศนศึกษาดูงานที่ประเทศเกาหลี ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม 14. จัดทำที่พักอาศัยสำหรับนักเรียนนักศึกษา 15. จัดที่พักอาศัยและติดต่อดูแลผู้ที่เกษียน ในช่วงวันหยุดยาว (Long Stay) จากเกาหลีที่มาพักในประเทศไทย 16. ดูแลและติดต่อโรงเรียนนานาชาติสำหรับเด็กเกาหลีที่สนใจมาเรียนที่ประเทศไทย
กรรมการสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ระหว่าง ไทย-เกาหลี คือ 1. การทำวีซ่าเพื่อพำนักระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันมีเด็กเกาหลีที่กำลังเรียนอยู่ที่เชียงใหม่เป็นจำนวนมากและพ่อแม่ทำงานประจำและอาศัยอยู่ที่เกาหลี จึงต้องมาเยี่ยมลูกเป็นประจำ ความยากลำบากในเรื่องการทำวีซ่าทำให้การเดินทางมีปัญหา ซึ่งการทำวีซ่าทำได้แค่ 3 เดือน เมื่อกลับไปก็ไม่สามารถมาอีกได้ 2. การแลกเปลี่ยนและทำกิจกรรมระหว่างพี่น้องเกาหลีกับพี่น้องคนไทยมากขึ้นในเทศกาลต่างๆ 3. การสื่อสารให้ข้อมูลงานการพัฒนาสังคมสงเคราะห์เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนางานด้านสังคมสงเคราะห์ร่วมกัน 4. สร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมสุขภาพช่วยเหลือและดูแลพี่น้องเกาหลีที่พักในเชียงใหม่ได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อศูนย์ประสานงาน Long Stay เกาหลี ร้าน Seoul Sense 114/32 CBP หมู่ 4 ต.หนองป่าครั่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ คุณ โศภิต พนมอุปถัมภ์ 083-0075391,081-6710351 Email:mamgng@yahoo.co.th
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยในวาระขอบคุณประเทศไทย 64 ปี สงครามเกาหลี แถลงโดย นางโศภิต พนมอุปถัมภ์ กรรมการสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพ ฝ่ายงานต่างประเทศ ที่ปรึกษากลุ่ม Long Stay เกาหลี ในจังหวัดเชียงใหม่ และ อาจารย์คิม ซอน กุก ประธาน กลุ่ม Long Stay เกาหลี ในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า กลุ่มผู้พำนักระยะยาวชาวเกาหลีในจังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นโดย อาจารย์ คิม แท มิน (Kim tae Min) คริสเตียนชาวเกาหลีใต้ ผู้พำนักอยู่ในประเทศไทย มากกว่า 25 ปี ด้วยความชื่นชม กลมกลืนกับวัฒนธรรมไทยและภารกิจที่เป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อพัฒนาชนบทตามความตั้งใจของท่านและครอบครัว โดยการตั้งมูลนิธิขึ้นถึงสองมูลนิธิ คือมูลนิธิ พระคุณนิรันดร์ และ มูลนิธิ พระพรใหม่ และอาจารย์ ซอน กุก คิม (Kim Seon Gook) เพื่อนรุ่นน้องที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน โดยอาจารย์ ซอน กุก คิม ได้ตั้งมูลนิธิเชียงใหม่จุงอัง และคริสจักรขึ้น เพื่อดูแลเพื่อนชาวเกาหลีที่มาพำนักในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์ ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 300 คน ประกอบอาชีพหลากหลายและช่วยประสานงานการดูแลความเป็นอยู่โดยทั่วไป นอกจากนั้น ยังมีชาวเกาหลีอีกจำนวนหนึ่ง ที่เข้ามาพำนักระยะยาวในเชียงใหม่ประเทศไทย ประมาณ 1,500 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1. เป็นกลุ่มเด็กนักเรียนนักศึกษาตามโรงเรียนนานาชาติ 2. กลุ่มผู้ อวุโสมาพักช่วงเกษียณราชการ 3. กลุ่มผู้ทำธุรกิจทั่วไป
การดำเนินชีวิตของชาวเกาหลีในเชียงใหม่และในประเทศไทย เป็นไปด้วยความไม่เข้าใจทั้งภาษาวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ทั้งๆที่ความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศดำเนินมาเป็นเวลายาวนาน การจัดกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ทางวัฒนธรรมก็มีน้อยมาก ดังนั้นชาวเกาหลีส่วนหนึ่งที่มีใจรักและอยากมีชีวิตบนผืนแผ่นดินไทยอย่างสงบเรียบร้อย ทั้งในการประกอบกิจการงาน และการดำเนินชีวิตทั่วไป จึงได้ร่วมกันรวมกลุ่มเป็นกลุ่ม Long Stay เกาหลีและได้ทำความร่วมมือผ่านสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพเชียงใหม่ โดยมีนางโศภิต พนมอุปถัมภ์ กรรมการสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพเชียงใหม่ และประธานบริษัท GnG Wave (Thai) Co.,Ltd เป็นผู้ประสานงานและที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศต่อไป
พันธกิจของกลุ่ม Long Stay เกาหลีในช่วงที่ผ่านมา 1. จัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับพี่น้องเกาหลีในเชียงใหม่ 2. จัดโอกาสการศึกษาวัฒนธรรมของคนไทยให้กับพี่น้องเกาหลีเพื่อสร้างความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม 3. จัดโอกาสให้คนไทยศึกษาวัฒนธรรมเกาหลีเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสร้างความสัมพันธ์ 4. จัดโอกาสให้พี่น้องเกาหลีมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยากจน ด้อยโอกาสให้มีที่อยู่อาศัย 5. ช่วยสนับสนุนคริสตจักรท้องถิ่นของพี่น้องคนไทย ช่วยสร้างอาคาร ที่จัดกิจกรรม นมัสการ จัดกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน 6. จัดโอกาสให้พี่น้องเกาหลีที่อยู่เกาหลีมาทัศนศึกษาที่ประเทศไทย ศึกษาสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม 7. จัดงานดนตรีคอนเสิร์ตเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม 8. ช่วยจัดพื้นที่สำหรับที่อาศัยของผู้ที่อาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ 9. จัดกิจกรรมสอนภาษาเกาหลีสำหรับอนุชนที่อาศัยในเชียงใหม่ 10. ร่วมสนับสนุนกิจกรรมและโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ เช่น โรงเรียนแม่แฮเหนือ 11. สนับสนุนศูนย์อพยพที่จังหวัดตาก ด้านอุปกรณ์การศึกษา กีฬา นันทนาการ 12. ช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนนักศึกษา 13. จัดโอกาสให้ผู้นำคนไทยในคริสตจักรไปทัศนศึกษาดูงานที่ประเทศเกาหลี ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม 14. จัดทำที่พักอาศัยสำหรับนักเรียนนักศึกษา 15. จัดที่พักอาศัยและติดต่อดูแลผู้ที่เกษียน ในช่วงวันหยุดยาว (Long Stay) จากเกาหลีที่มาพักในประเทศไทย 16. ดูแลและติดต่อโรงเรียนนานาชาติสำหรับเด็กเกาหลีที่สนใจมาเรียนที่ประเทศไทย
กรรมการสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ระหว่าง ไทย-เกาหลี คือ 1. การทำวีซ่าเพื่อพำนักระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันมีเด็กเกาหลีที่กำลังเรียนอยู่ที่เชียงใหม่เป็นจำนวนมากและพ่อแม่ทำงานประจำและอาศัยอยู่ที่เกาหลี จึงต้องมาเยี่ยมลูกเป็นประจำ ความยากลำบากในเรื่องการทำวีซ่าทำให้การเดินทางมีปัญหา ซึ่งการทำวีซ่าทำได้แค่ 3 เดือน เมื่อกลับไปก็ไม่สามารถมาอีกได้ 2. การแลกเปลี่ยนและทำกิจกรรมระหว่างพี่น้องเกาหลีกับพี่น้องคนไทยมากขึ้นในเทศกาลต่างๆ 3. การสื่อสารให้ข้อมูลงานการพัฒนาสังคมสงเคราะห์เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนางานด้านสังคมสงเคราะห์ร่วมกัน 4. สร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมสุขภาพช่วยเหลือและดูแลพี่น้องเกาหลีที่พักในเชียงใหม่ได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อศูนย์ประสานงาน Long Stay เกาหลี ร้าน Seoul Sense 114/32 CBP หมู่ 4 ต.หนองป่าครั่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ คุณ โศภิต พนมอุปถัมภ์ 083-0075391,081-6710351 Email:mamgng@yahoo.co.th
ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/พรไพลิน นุชเครือ
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปีพุทธศักราช 2557
คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมเตรียมจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปีพุทธศักราช 2557 ณ ห้องประชุมศูนย์เผยแผ่ธรรมจังหวัดเชียงใหม่ วัดพันอ้น
นายอดุลย์ เครือยศ ผอ.ส่วนส่งเสริมการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม กล่าวว่า การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะมีการจัดงานขึ้นภายในวันที่ 4 – 12 กรกฎาคม 2557 กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการทางพระพุทธศาสนาและกิจกรรมพระธรรมจาริก การบรรยายธรรมมะ โดยนักเรียนที่ชนะเลิศการแข่งขันบรรยายธรรมะวันมาฆบูชา, การแสดงดนตรีพื้นเมือง, พิธีหล่อเทียนเข้าพรรษา, การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา / วัฒนธรรมชนเผ่า ในพิธีสมโภชเทียนพรรษา, พิธีมอบโล่โรงเรียนที่พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมยอดเยี่ยมโดยพิธีแสดงตน เป็นพุทธมามกะ ประจำปี 2557, การแข่งขันตอบปัญหาธรรมะชิงโล่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมทุนการศึกษา พิธีหล่อเทียนพรรษาเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนทำบุญตักบาตรสมาทานศีลฟังเทศน์ ณ วัดใกล้บ้าน
ด้านนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอความร่วมมืองดเว้นการฆ่าสัตว์ การซื้อขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และทำหนังสือแจ้งให้สื่อมวลชนขอความร่วมมือสถานบริการหยุดกิจการในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา 2 วัน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาปีนี้ ขอเชิญสาธุชนทุกท่านงดเว้นการทำบาปทั้งปวง มุ่งสร้างสรรค์ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ใสบริสุทธิ์ และพาครอบครัวไปทำบุญตักบาตร หรือถวายสังฆทาน 9 วัด บนเส้นทางถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองเชียงใหม่เพื่อความผาสุกและความเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่าน รวมทั้งคนในครอบครัวท่านด้วย
จังหวัดเชียงใหม่ จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา โดยวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรก เพื่อแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และ ถวายพุทธบูชา 3 ประการ คือ 1. ละเว้นการทำความชั่วทุกอย่าง 2. มุ่งทำแต่ความดี ตามหลักอริยมรรค 8 3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ และวันเข้าพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น จากนั้นทางคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาจึงได้จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา
นายอดุลย์ เครือยศ ผอ.ส่วนส่งเสริมการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม กล่าวว่า การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะมีการจัดงานขึ้นภายในวันที่ 4 – 12 กรกฎาคม 2557 กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการทางพระพุทธศาสนาและกิจกรรมพระธรรมจาริก การบรรยายธรรมมะ โดยนักเรียนที่ชนะเลิศการแข่งขันบรรยายธรรมะวันมาฆบูชา, การแสดงดนตรีพื้นเมือง, พิธีหล่อเทียนเข้าพรรษา, การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา / วัฒนธรรมชนเผ่า ในพิธีสมโภชเทียนพรรษา, พิธีมอบโล่โรงเรียนที่พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมยอดเยี่ยมโดยพิธีแสดงตน เป็นพุทธมามกะ ประจำปี 2557, การแข่งขันตอบปัญหาธรรมะชิงโล่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมทุนการศึกษา พิธีหล่อเทียนพรรษาเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนทำบุญตักบาตรสมาทานศีลฟังเทศน์ ณ วัดใกล้บ้าน
ด้านนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอความร่วมมืองดเว้นการฆ่าสัตว์ การซื้อขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และทำหนังสือแจ้งให้สื่อมวลชนขอความร่วมมือสถานบริการหยุดกิจการในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา 2 วัน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาปีนี้ ขอเชิญสาธุชนทุกท่านงดเว้นการทำบาปทั้งปวง มุ่งสร้างสรรค์ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ใสบริสุทธิ์ และพาครอบครัวไปทำบุญตักบาตร หรือถวายสังฆทาน 9 วัด บนเส้นทางถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองเชียงใหม่เพื่อความผาสุกและความเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่าน รวมทั้งคนในครอบครัวท่านด้วย
จังหวัดเชียงใหม่ จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา โดยวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรก เพื่อแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และ ถวายพุทธบูชา 3 ประการ คือ 1. ละเว้นการทำความชั่วทุกอย่าง 2. มุ่งทำแต่ความดี ตามหลักอริยมรรค 8 3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ และวันเข้าพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น จากนั้นทางคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาจึงได้จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา
ข่าวโดย : นายณัฏฐ์ สินันตา / นางสาววิมลฉัตร สุดวิลัย
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การสืบสวนคดีอาญา โดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง
กฎกระทรวงกำหนดสอบสวนความผิดอาญาบางประเภทในจังหวัด อื่นนอกจาก กรุงเพทมหานคร โดยพนักงานสอบสวน ฝ่ายปกครอง ได้กำหนดให้พนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองสอบสวนงานได้เพื่อพัฒนาศักยภาพโดยฝึกปฏิบัติการจริง ตั้งแต่มีการเข้าจับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการโรงแรม และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า
(17 มิ.ย. 57) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายอรรถชา กัมปนาทแสนยากร จ่าจังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์จังหวัดเชียงใหม่ ในวาระ “การสืบสวนคดีอาญาโดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง กรมการปกครอง ได้คัดเลือก จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเป้าหมายในการฝึกอบรม เชิงปฏิบัติการ การสืบสวนคดีอาญา โดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง (Learning by Doing) ระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาศักยภาพโดยฝึกปฏิบัติการจริง ตั้งแต่มีการเข้าจับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการโรงแรม และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า การสอบสวนนี้ทำสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการ คดีศาลแขวงเชียงใหม่ โดยส่งคดีและจำเลยศาลแขวงเชียงใหม่ พิพากษาลงโทษจำเลย ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองฝ่ายเดียวจากการดำเนินการ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2557 เวลา 14.30 น. ศาลแขวงเชียงใหม่ โดยพิพากษาลงจำเลย จำนวน 2 คดี ดังนี้ 1. คดีประกอบกิจการโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต จับกุมดำเนินคดี 1 ราย ศาลพิพากษา ลงโทษจำเลย ปรับเป็นเงิน 10,000 บาท และปรับอีกละ 1,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ 2. คดีค้าของเก่าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จับกุมดดำเนินคดี 1 ราย ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย จำคุก 1 เดือน ปรับเป็นเงิน 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี
ในความผิดอาญาตามกฎหมายมีความผิดดังนี้ 1. กฎหมายว่าด้วยกองอาสารักษาดินแดน 2. กฎหมายว่าด้วยการขายทอดตลาด 3.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไร 4. กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร 5. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาทุกข์สาธารณภัย 6. กฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ 7. กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข 8.กฎหมายว่าด้วยบัตรประชาชน 9.กฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ 10. กฎหมายว่าด้วยภาษีป้าย 11. กฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน 12. กฎหมายว่าด้วยยศและเครื่องแบบผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน 13.กฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ 14.กฎหมายว่าด้วยโรงแรม 15.กฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ 16.กฎหมายว่าด้วยสุสานและฌาปนสถานโดยจังหวัดเชียงใหม่ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงใหม่ จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนงได้ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งเตือนผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และผู้ประกอบการค้าของเก่าที่ไม่ไดรับใบอนุญาต ให้เร่งรัดยื่นคำขอรับใบอนุญาต ณ ที่ทำการปกครองอำเภอท้องที่ ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรม หรือที่ตั้งของร้านค้าของเก่า ภายใน 30 วัน โดยขณะนี้ ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้เน้นย้ำในการประกอบการที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างเคร่งครัด หากพ้นกำหนดจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อไป
(17 มิ.ย. 57) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายอรรถชา กัมปนาทแสนยากร จ่าจังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์จังหวัดเชียงใหม่ ในวาระ “การสืบสวนคดีอาญาโดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง กรมการปกครอง ได้คัดเลือก จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเป้าหมายในการฝึกอบรม เชิงปฏิบัติการ การสืบสวนคดีอาญา โดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง (Learning by Doing) ระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาศักยภาพโดยฝึกปฏิบัติการจริง ตั้งแต่มีการเข้าจับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการโรงแรม และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า การสอบสวนนี้ทำสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการ คดีศาลแขวงเชียงใหม่ โดยส่งคดีและจำเลยศาลแขวงเชียงใหม่ พิพากษาลงโทษจำเลย ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองฝ่ายเดียวจากการดำเนินการ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2557 เวลา 14.30 น. ศาลแขวงเชียงใหม่ โดยพิพากษาลงจำเลย จำนวน 2 คดี ดังนี้ 1. คดีประกอบกิจการโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต จับกุมดำเนินคดี 1 ราย ศาลพิพากษา ลงโทษจำเลย ปรับเป็นเงิน 10,000 บาท และปรับอีกละ 1,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ 2. คดีค้าของเก่าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จับกุมดดำเนินคดี 1 ราย ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย จำคุก 1 เดือน ปรับเป็นเงิน 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี
ในความผิดอาญาตามกฎหมายมีความผิดดังนี้ 1. กฎหมายว่าด้วยกองอาสารักษาดินแดน 2. กฎหมายว่าด้วยการขายทอดตลาด 3.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไร 4. กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร 5. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาทุกข์สาธารณภัย 6. กฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ 7. กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข 8.กฎหมายว่าด้วยบัตรประชาชน 9.กฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ 10. กฎหมายว่าด้วยภาษีป้าย 11. กฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน 12. กฎหมายว่าด้วยยศและเครื่องแบบผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน 13.กฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ 14.กฎหมายว่าด้วยโรงแรม 15.กฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ 16.กฎหมายว่าด้วยสุสานและฌาปนสถานโดยจังหวัดเชียงใหม่ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงใหม่ จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนงได้ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งเตือนผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และผู้ประกอบการค้าของเก่าที่ไม่ไดรับใบอนุญาต ให้เร่งรัดยื่นคำขอรับใบอนุญาต ณ ที่ทำการปกครองอำเภอท้องที่ ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรม หรือที่ตั้งของร้านค้าของเก่า ภายใน 30 วัน โดยขณะนี้ ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้เน้นย้ำในการประกอบการที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างเคร่งครัด หากพ้นกำหนดจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อไป
ข่าวโดย : นายไผท สุวรรณเสวตร/นางสาววิมลฉัตร สุดวิลัย
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
การประปานครหลวงจัดกิจกรรมปลูกจิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติ
การประปานครหลวง วางแผนการจัดกิจกรรมรักษ์ป่าต้นน้ำเพื่อเฉลิมพระเกียรติ และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ใน พื้นที่ป่าต้นน้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และ พื้นที่ป่าชุมชนต้นน้ำ รอบพื้นที่เขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อสนองตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยการประปานครหลวงเข้าร่วมการแถลงข่าวในวาระ โครงการการประปานครหลวงรักษ์ป่าต้นน้ำเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายวิสันต์ เลียวลิขิต ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง ชี้แจงถึงรายละเอียดโครงการดังกล่าวว่า เป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินกิจกรรมแบบมุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพนักงานการประปานครหลวง ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนต้นน้ำ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติหลายกิจกรรม โดยเริ่มจัดกิจกรรมของโครงการ ณ บ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555-ปัจจุบัน มีกิจกรรม ปลูกป่าต้นน้ำ สร้างฝายชะลอน้ำ พัฒนาโรงเรียนและชุมชนต้นน้ำ สร้างพนักงานจิตอาสาการประปานครหลวงในการขับเคลื่อนโครงการ ความสำเร็จในการจัดกิจกรรมที่ผ่านมาในส่วนหนึ่งคือ มีต้นไม้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15,000 ต้น จำนวนฝายชะลอน้ำไม่น้อยกว่า 150 ฝาย และในปีนี้มีกิจกรรมหลักๆ 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม ดำเนินงานโครงการปลูกป่าในเขตพื้นที่ต้นน้ำ , กิจกรรมขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าให้ยั่งยืน , กิจกรรมด้านการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าของพนักงานการประปานครหลวง , กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร สถานที่ในการดำเนินโครงการคือ พื้นที่ป่าต้นน้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และ พื้นที่ป่าชุมชนต้นน้ำ รอบพื้นที่เขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ และรักษาป่าต้นน้ำ เพื่อให้มีน้ำในปริมาณที่พอเพียงและยั่งยืนในอนาคตต่อไป
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยการประปานครหลวงเข้าร่วมการแถลงข่าวในวาระ โครงการการประปานครหลวงรักษ์ป่าต้นน้ำเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายวิสันต์ เลียวลิขิต ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง ชี้แจงถึงรายละเอียดโครงการดังกล่าวว่า เป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินกิจกรรมแบบมุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพนักงานการประปานครหลวง ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนต้นน้ำ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติหลายกิจกรรม โดยเริ่มจัดกิจกรรมของโครงการ ณ บ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555-ปัจจุบัน มีกิจกรรม ปลูกป่าต้นน้ำ สร้างฝายชะลอน้ำ พัฒนาโรงเรียนและชุมชนต้นน้ำ สร้างพนักงานจิตอาสาการประปานครหลวงในการขับเคลื่อนโครงการ ความสำเร็จในการจัดกิจกรรมที่ผ่านมาในส่วนหนึ่งคือ มีต้นไม้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15,000 ต้น จำนวนฝายชะลอน้ำไม่น้อยกว่า 150 ฝาย และในปีนี้มีกิจกรรมหลักๆ 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม ดำเนินงานโครงการปลูกป่าในเขตพื้นที่ต้นน้ำ , กิจกรรมขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าให้ยั่งยืน , กิจกรรมด้านการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าของพนักงานการประปานครหลวง , กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร สถานที่ในการดำเนินโครงการคือ พื้นที่ป่าต้นน้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และ พื้นที่ป่าชุมชนต้นน้ำ รอบพื้นที่เขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ และรักษาป่าต้นน้ำ เพื่อให้มีน้ำในปริมาณที่พอเพียงและยั่งยืนในอนาคตต่อไป
ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/สมัชญา หน่อหล้า
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
ครบรอบ 30 ปี มจร. วิทยาเขตเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ จัดงานใหญ่ ทำบุญครบรอบ 30 ปี และพิธีแสดงมุทิตาจิตบัณฑิตผู้จบใหม่จาก มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2557
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ได้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ โดยท่านพระมหา ดร.ดวงจันทร์ คุตฺตสีโล ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ แถลงในวาระ 30 ปี การก่อตั้ง มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่
พระมหาดร.ดวงจันทร์ คุตฺตสีโล กล่าวว่า เจริญพรว่า ในวันที่ 21 มิถุนายน 2557 นี้ ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ จะจัดงานทำบุญ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี แห่งการสถาปนาและพิธีแสดงมุทิตาจิตพุทธศาสตร์บัณฑิต,มหาบัณฑิต,ดุษฎีบัณฑิต,ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ และผู้ที่ได้รับเข็มเกียรติคุณ ประจำปี 2557 ณ พระวิหารหลวงวัดสวนดอก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เริ่มก่อตั้งเมื่อเดือน มิถุนายน 2527 ในปีการศึกษา 2557 มีบัณฑิตเข้ารับปริญญา จำนวน 234 รูป ใน 4 คณะ มหาบัณฑิต จำนวน 12 รูป ระดับดุษฎีบัณฑิต จำนวน 21 รูป ในการนี้ทางมหาวิทยาลัยฯ จะได้จัดงานแสดงมุทิตาจิตให้กับผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับ ในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2557 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ณ พระวิหารหลวงวัดสวนดอก พระอารามหลวง ส่วนภาคบ่ายมีพิธีเปิดป้ายเนื่องในวาระครบ 30 ปี โดยกลุ่มนักวิชาการล้านนา
ในโอกาสนี้ผู้อำนวยมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ขอเรียนเชิญ/เจริญพร พุทธศาสนิกชนที่สนใจร่วมเป็นเจ้าภาพโรงทาน เครื่องไทยทานได้ที่ มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่ โทร. 053-278967,087-1857373 และขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านเข้าร่วมงานตามวันและเวลาดังกล่าวด้วย
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00 น. ได้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ โดยท่านพระมหา ดร.ดวงจันทร์ คุตฺตสีโล ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ แถลงในวาระ 30 ปี การก่อตั้ง มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่
พระมหาดร.ดวงจันทร์ คุตฺตสีโล กล่าวว่า เจริญพรว่า ในวันที่ 21 มิถุนายน 2557 นี้ ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ จะจัดงานทำบุญ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี แห่งการสถาปนาและพิธีแสดงมุทิตาจิตพุทธศาสตร์บัณฑิต,มหาบัณฑิต,ดุษฎีบัณฑิต,ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ และผู้ที่ได้รับเข็มเกียรติคุณ ประจำปี 2557 ณ พระวิหารหลวงวัดสวนดอก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เริ่มก่อตั้งเมื่อเดือน มิถุนายน 2527 ในปีการศึกษา 2557 มีบัณฑิตเข้ารับปริญญา จำนวน 234 รูป ใน 4 คณะ มหาบัณฑิต จำนวน 12 รูป ระดับดุษฎีบัณฑิต จำนวน 21 รูป ในการนี้ทางมหาวิทยาลัยฯ จะได้จัดงานแสดงมุทิตาจิตให้กับผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับ ในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2557 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ณ พระวิหารหลวงวัดสวนดอก พระอารามหลวง ส่วนภาคบ่ายมีพิธีเปิดป้ายเนื่องในวาระครบ 30 ปี โดยกลุ่มนักวิชาการล้านนา
ในโอกาสนี้ผู้อำนวยมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ขอเรียนเชิญ/เจริญพร พุทธศาสนิกชนที่สนใจร่วมเป็นเจ้าภาพโรงทาน เครื่องไทยทานได้ที่ มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่ โทร. 053-278967,087-1857373 และขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านเข้าร่วมงานตามวันและเวลาดังกล่าวด้วย
ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/สมัชญา หน่อหล้า
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
ไปรษณีย์ไทย จับมือหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เปิดให้ทายผลฟุตบอลโลก 2014
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จับมือยักษ์ใหญ่แห่งวงการหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" จัดแคมเปญพิเศษต้อนรับฟุตบอลโลก 2014 ทายผลแชมป์ผ่านไปรษณียบัตรของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ลุ้นโชคใหญ่มูลค่ารวมมากกว่า 40 ล้านบาท
(17 มิ.ย. 57) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายนภดล พงษ์นิกร หัวหน้าไปรษณีย์เขต 5 ได้เข้าร่วมวาระการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์จังหวัดเชียงใหม่ ในวาระ “บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด จับมือหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่จัดแคมเปญพิเศษต้อนรับ ฟุตบอลระดับโลก 2014” ซึ่งนายนภดล พงษ์นิกร หัวหน้าไปรษณีย์ เขต 5 กล่าวว่า บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้เข้าร่วมกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จัดกิจกรรมทายผลฟุตบอล 2014 ที่จะมีการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน 2557 – 13 กรกฎาคม 2557 ณ ประเทศบราซิล โดยเปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าร่วมสนุก ร่วมเชียร์ฟุตบอลได้มากว่าเดิมและมีโอกาสได้รับทั้งเงินและรางวัลอื่นๆ อีกมากมายมูลค่า รวมมากกว่า 40 ล้านบาท โดยผู้เข้าร่วมทายผล มีกติกา ดังนี้ 1. เขียนชื่อ – ที่อยู่ ให้ตรงกับบัตรประชาชนหรือทะเบียนบ้านพร้อมชื่อประเทศที่ทายว่าชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 ลงบนไปรษณียบัตรของบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด 2. จ่าหน้าซองถึง นสพ. ไทยรัฐ เลขที่ 1 ถนน วิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพ ฯ 10900 ส่งผ่านไปรษณีย์ ภายใน 13 กรกฎาคม 2557 ภายในเวลา 18.00 น. โดยถือตราบัตรประทับไปรษณีย์เป็นสิ่งสำคัญ 3. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่งทายผล ต้องมีสัญชาติไทย และผู้ส่งคนเดียวสามมารถส่งไปรษณียบัตรได้ไม่มีจำนวนจำกัด 4. ห้ามขีด ฆ่า ลบ ระบายสี หรือทำสัญลักษณ์ใดๆ และห้ามติดสติ๊กเกอร์หรือตัดกระดาษพิมพ์ชื่อ-ที่อยู่ทีมที่ทายผล แปะลงบนไปรษณียบัตร ทั้งนี้ยังมีรางวัล ร่วมลุ้นอีกมากกว่า 111 รางวัล รางวัลที่1 เป็นเงินสดมูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 เป็นเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 10 รางวัล รางวัลที่ 3 เป็นเงินสด มูลค่า 1 แสนบาท จำนวน 100 รางวัล
ในปีนี้ ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้จัดพิมพ์ไปรษณียบัตรชุดพิเศษในคลอเลคชั่นWorld Champion รวม 10 แบบ จำหน่ายในราคา แผ่นละ 2 บาท โดยจัดทำเป็นแพคพิเสษ 10 แผ่น จำหน่ายแพคละ 20 บาท ประชาชนผู้สนใจสามารถหาซื้อได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ และ บุรุษไปรษณีย์ ทั่วประเทศ รวมทั้งที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทและท๊อปทุกสาขาทั่วประเทศ สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ที่ทำการไปรษณีย์ ร้านไปรษณีย์ไทย ,เคาเตอร์บริการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ส่วนการตลาดและพัฒนาธุรกิจ สำนักงานไปรษณีย์ เขต 5 เลขที่ 6 ถนนมหิดล ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200 โทรศัพท์ 053-279761 หรือทาง Call Center 1545 และ www.thailandpost.co.th
(17 มิ.ย. 57) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายนภดล พงษ์นิกร หัวหน้าไปรษณีย์เขต 5 ได้เข้าร่วมวาระการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์จังหวัดเชียงใหม่ ในวาระ “บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด จับมือหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่จัดแคมเปญพิเศษต้อนรับ ฟุตบอลระดับโลก 2014” ซึ่งนายนภดล พงษ์นิกร หัวหน้าไปรษณีย์ เขต 5 กล่าวว่า บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้เข้าร่วมกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จัดกิจกรรมทายผลฟุตบอล 2014 ที่จะมีการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน 2557 – 13 กรกฎาคม 2557 ณ ประเทศบราซิล โดยเปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าร่วมสนุก ร่วมเชียร์ฟุตบอลได้มากว่าเดิมและมีโอกาสได้รับทั้งเงินและรางวัลอื่นๆ อีกมากมายมูลค่า รวมมากกว่า 40 ล้านบาท โดยผู้เข้าร่วมทายผล มีกติกา ดังนี้ 1. เขียนชื่อ – ที่อยู่ ให้ตรงกับบัตรประชาชนหรือทะเบียนบ้านพร้อมชื่อประเทศที่ทายว่าชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 ลงบนไปรษณียบัตรของบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด 2. จ่าหน้าซองถึง นสพ. ไทยรัฐ เลขที่ 1 ถนน วิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพ ฯ 10900 ส่งผ่านไปรษณีย์ ภายใน 13 กรกฎาคม 2557 ภายในเวลา 18.00 น. โดยถือตราบัตรประทับไปรษณีย์เป็นสิ่งสำคัญ 3. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่งทายผล ต้องมีสัญชาติไทย และผู้ส่งคนเดียวสามมารถส่งไปรษณียบัตรได้ไม่มีจำนวนจำกัด 4. ห้ามขีด ฆ่า ลบ ระบายสี หรือทำสัญลักษณ์ใดๆ และห้ามติดสติ๊กเกอร์หรือตัดกระดาษพิมพ์ชื่อ-ที่อยู่ทีมที่ทายผล แปะลงบนไปรษณียบัตร ทั้งนี้ยังมีรางวัล ร่วมลุ้นอีกมากกว่า 111 รางวัล รางวัลที่1 เป็นเงินสดมูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 เป็นเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 10 รางวัล รางวัลที่ 3 เป็นเงินสด มูลค่า 1 แสนบาท จำนวน 100 รางวัล
ในปีนี้ ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้จัดพิมพ์ไปรษณียบัตรชุดพิเศษในคลอเลคชั่นWorld Champion รวม 10 แบบ จำหน่ายในราคา แผ่นละ 2 บาท โดยจัดทำเป็นแพคพิเสษ 10 แผ่น จำหน่ายแพคละ 20 บาท ประชาชนผู้สนใจสามารถหาซื้อได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ และ บุรุษไปรษณีย์ ทั่วประเทศ รวมทั้งที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทและท๊อปทุกสาขาทั่วประเทศ สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ที่ทำการไปรษณีย์ ร้านไปรษณีย์ไทย ,เคาเตอร์บริการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ส่วนการตลาดและพัฒนาธุรกิจ สำนักงานไปรษณีย์ เขต 5 เลขที่ 6 ถนนมหิดล ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200 โทรศัพท์ 053-279761 หรือทาง Call Center 1545 และ www.thailandpost.co.th
ข่าวโดย : นายไผท สุวรรณเสวตร/นางสาววิมลฉัตร สุดวิลัย
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)