วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จ.มส.ประชุมการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว


จังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๗ จ.แม่ฮ่องสอน ประชุมชี้แจงการตัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว

ที่ห้องประชุมขุนลุมประพาศ ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.อ.อำนาจ ศรีมาก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๗ จ.แม่ฮ่องสอน และหน่วยงานด้านความมั่นคงจังหวัดแม่ฮ่องสอนประชุมชี้แจงนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว ตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช ) ที่ให้แรงงานต่างด้าวทำงานอยู่ในประเทศได้อย่างถูกต้องมากฎหมายที่กำหนด กาประชุม ฯ ดังกล่าว นอกจากจะดำเนินการจัดการปัญหาแรงต่างด้าวและในที่ประชุมยังได้มีนโยบายที่จะเข้าไปดำเนินการจัดระเบียบผู้หนีภัยจาการสู้รบที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ณ พื้นที่พักพิงบ้านในสอย อ.เมืองแม่ฮ่องสอน พื้นที่พักพิงบ้านแม่สุรินทร์ อ.ขุนยวม พื้นที่พักพิงบ้านแม่ลามาหลวง และบ้านแม่ละอูน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน จะไม่ให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบออกนอกพื้นทีพักพิง ฯ เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะตามมา ด้านนายถาวร ผิวเณร นักวิชาการแรงงานชำนาญการ รักษาราชการแทน จัดหางานจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า “ ปัญหาแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มาขออนุญาตทำงาน จำนวน ๘๙๓ คน สัญชาติพม่า และมีสัญชาติลาว ๑ คน ทำงานในพื้นที่อำเภอปาย อำเภอเมือง และอำเภอขุนยวม อย่างไรก็ตามปัญหาแรต่างด้าวในพื้นที่ไม่มีปัญหา หากแรงงานต่างด้าวดังกล่าวกลับประเทศ จังหวัดแม่ฮ่องสอนก็ยังบุคคลต่างด้าวที่ถือกรมการปกครองอยู่ในพื้นที่นับหมื่นคนสามารถนำมาทดแทนแรงงานต่างดาวชาวพม่าดังกล่าวได้



ข่าวโดย : ดำเนิน ท้วมจอก ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน
    หน่วยงาน : ส.ปชส.แม่ฮ่องสอน

เทศบาลเมืองยวมใต้ซ้อมแผนเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยแนวดิ่งเพื่อเสริมทักษะสร้างศักยภาพความชำนาญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เทศบาลเมืองยวมใต้ซ้อมแผนเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยแนวดิ่งหุบแหวลึกกว่า 100 เมตร เพื่อเสริมทักษะสร้างศักยภาพความชำนาญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เช้าวันนี้ 4 ก.ค หน่วยกู้ชีพกู้ภัย อปพร. เทศบาลเมืองยวมใต้ต้องเร่งลำเลียงผู้ประสบภัยในแนวดิ่ง หุบเหวลึกกว่า 100 เมตร ณ บริเวณอ่างเก็บน้ำ ศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนยอดดอย บ้านห้วยหลวง ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นการซักซ้อมแผนปฏิบัติจริงในการเผชิญเหตุภัยพิบัติ โดย ว่าที่ร้อยตรีสุวสันต์ บัวงาม รองนายกเทศมนตรีเมืองยวมใต้ ได้นำ ชุดกู้ชีพกู้ภัย 2 ชุดปฏิบัติการ กว่า 20 คน ทำการฝึกทบทวนซักซ้อมแผนเผชิญการช่วยเหลือและขนย้ายผู้บาดเจ็บในแนวดิ่ง ด้วยการใช้เงื่อนเชือก เพื่อให้เหล่าสมาชิกอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน หรืออปพร. ทีมกู้ชีพกู้ภัย ในพื้นที่เสี่ยงภัย ได้รับการอบรมฝึกทักษะ ความชำนาญในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์

ทั้งนี้การฝึกอบรมจะเน้นให้อปพร. ในพื้นที่เสี่ยงภัย ทุกนาย มีความพร้อมทั้งทักษะ ความชำนาญในการกู้ชีพกู้ภัย ทั้งภาคทฤษฏี อาทิเช่น ความรู้เรื่องภัยพิบัติ การรักษาที่เกิดเหตุ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและ ภาคการปฏิบัติจริง ตั้งแต่การรับแจ้ง ที่เกิดเหตุ การช่วยเหลือ การเคลื่อนย้าย จากวิทยากรเชี่ยวชาญ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน สถานีตำรวจภูธรแม่สะเรียง โรงพยาบาลแม่สะเรียง เพื่อให้ อปพร.ทุกนาย มีความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมง


ข่าวโดย : นวรัตน์ ศรีแก้วเลิศ
    หน่วยงาน : สวท.แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน

เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ร่วมกับพุทธศาสนิกชน จัดพิธีหล่อเทียนพรรษา ประจำปี 2557

เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ร่วมกับพุทธศาสนิกชน จัดพิธีหล่อเทียนพรรษา ประจำปี 2557

เช้าวันนี้ ( 4 กรกรฏาคม 2557) นายธวัชชัย วงค์วาณิชย์ รองนายกเทศมนตรีเมืองแม่ฮ่องสอน นำสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ผู้นำชุมชน พุทธศาสนิกชน และนักเรียน จำนวนกว่า 100 คน ประกอบพิธีหล่อเทียนพรรษา ที่วัดจองคำ พระอารามหลวง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และใน วันที่ 12 กรกฏาคม 2557 เวลาประมาณ 15.00 น. จะจัดขบวนแห่เทียนพรรษา จากบริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ไปยังวัดจองคำพระอารามหลวง เพื่ออนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรมประเพณี แห่เทียนพรรษาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้คงอยู่สืบไป

เทศกาลเข้าพรรษาเป็นวันที่พระสงฆ์อธิฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ แห่งใด แห่งหนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝน เป็นเวลา 3 เดือนตามพระวินัยบัญญัติและไม่ไปค้างแรมที่อื่น โดยทั่วไปเรียกกันว่าจำพรรษา พุทธศาสนิกชนนิยมถวายเทียนเพื่อให้แสงสว่างในการประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์

ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประชุมพิจารณากรอบกระบวนการศึกษาแบบมีส่วนร่วมโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฮัจยีบริเวณชายแดนไทย -พม่า

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประชุมพิจารณากรอบกระบวนการศึกษาแบบมีส่วนร่วมโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฮัจยีบริเวณชายแดนไทย -พม่า

เช้าวันนี้ ( 4 กรกฎาคม 2557) นายสุทธา สายวาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานประชุมพิจารณากรอบกระบวนการศึกษาแบบมีส่วนร่วมโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฮัจยี บริเวณชายแดน ไทย-พม่า ที่ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมกว่า 30 คน เพื่อชี้แจงรายละเอียดผลการศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม จากการก่อสร้างโครงการ พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดกระบวนการมีส่วนร่วม และพิจารณากรอบการมีส่วนร่วมต่อไป

รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวฝากให้คณะทำงาน ศึกษาผลกระทบใหม่อีกครั้ง โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม พร้อมทั้งให้อำเภอมีส่วนร่วมในการจัดการด้วย



ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรกับสื่อมวลชน และจัดเลี้ยงสังสรรค์ในงานป๊ะ กั๋น ม่วน อก ม่วน ใจ๋ สานสัมพันธ์ สื่อมวลชนเมืองสามหมอก

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรกับสื่อมวลชน และจัดเลี้ยงสังสรรค์ในงานป๊ะ กั๋น ม่วน อก ม่วน ใจ๋ สานสัมพันธ์ สื่อมวลชนเมืองสามหมอก

บ่ายวานนี้ (3 กรกรฏามคม 2557) พันเอกอำนาจ ศรีมาก ผู้บังคับ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 จังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมกำลังพล แข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรกับ สื่อมวลชน ที่ สนามกีฬา หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีม ฉก.ร.7 เสมอ ทีมสื่อมวลชน และการแข่งขันเปตอง ระหว่าง ฉก.ร.7 และ ทีมสื่อมวลชน ผลปรากฏว่า ทีมสื่อมวลชน ชนะ ทีม ฉก.ร.7

จากนั้นในตอนค่ำ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 เป็นประธาน งานจัดเลี้ยงสังสรรค์ในงาน ป๊ะ กั๋น ม่วน อก ม่วน ใจ๋ สานสัมพันธ์ สื่อมวลชนเมืองสามหมอก พร้อมมอบของขวัญ เพื่อขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวการดำเนินงานของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 ด้วยดีตลอดมา


ข่าวโดย : เอกณรินทร์ ใจมะโน
    หน่วยงาน : สวท.แม่ฮ่องสอน

วิทยาลัยชุมชนแพร่ จัดค่ายวิทยาศาสตร์การอาหาร สืบสานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

วิทยาลัยชุมชนแพร่จัดค่ายวิทยาศาสตร์การอาหาร สืบสานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2557 เน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่นแก่ชุมชน

นายบุญญพัฒน์ นามวงค์พรหม รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนแพร่กล่าวว่า ทางวิทยาลัยชุมชนแพร่ได้จัดกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์การอาหาร สืบสานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้โครงการจัดการความรู้ด้านอาหารเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ประจำปี 2557 ทั้งนี้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่นแก่ชุมชน โดยมุ่งที่จะสนองนโยบายการพัฒนาจังหวัดแพร่ ตามยุทธศาสตร์เรื่องการส่งเสริมอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยกระดับสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐาน ส่งเสริมให้เยาวชนได้เรียนรู้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในท้องถิ่น และตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ตลอดจนให้เยาวชนใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแปรรูปวัตถุดิบจากท้องถิ่นเป็นผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมทางอาหาร มีความรู้เรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร

ในการจัดกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์การอาหาร สืบสานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2557 มีนายศักดิ์ชัย จ.ผลิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่เป็นประธานเปิดโครงการที่วิทยาลัยชุมชนแพร่ โดยได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติภาคเหนือ และคลินิกเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่เฉลิมพระเกียรติ โดยมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และครู จากโรงเรียนในเขตจังหวัดภาคเหนือจำนวน 11 โรงเรียนรวม 33 คน


ฉัตรชัย พวงขจร /ข่าว /พิมพ์

จังหวัดแพร่ จัดเวทีอบรมการเชื่อมโยงเครือข่ายพริก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีมาตรฐาน

จังหวัดแพร่จัดเวทีอบรมการเชื่อมโยงเครือข่ายพริก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีมาตรฐานและมีความปลอดภัย ก้าวสู่เกษตรอินทรีย์และการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่รายงานว่า ตามที่จังหวัดแพร่ได้จัดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย เพื่อพัฒนามุ่งสู่เกษตรอินทรีย์และการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง กิจกรรม การบริหารจัดการผลิตและการตลาดพริกปลอดภัยและได้มาตรฐาน ปี 2557 ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดแพร่จึงได้จัดเวทีอบรมเสวนาการเชื่อมโยงเครือข่ายพริกจังหวัดแพร่ขึ้น ในวันที่ 4-5 กรกฎาคม 2557 ที่โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ โดยมีนายธนากร อึ้งจิตรไพศาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่เป็นประธานเปิดการอบรม ทั้งนี้เพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการวางแผนการผลิตพริกให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดและจัดเวทีพบปะเชื่อมโยงเครือข่ายตลาดระหกว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้รับซื้อพริกและโรงงานแปรรูปพริก โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมอบรมจากคณะกรรมการกลุ่มผู้ปลูกพริกจำนวน 24 กลุ่มๆละ 5 คน รวม 120 คน จากอำเภอสอง 35 คน อำเภอร้องกวาง 25 คน และอำเภอหนองม่วงไข่ 60 คน


ฉัตรชัย พวงขจร /ข่าว /พิมพ์

จังหวัดพะเยา เตรียมจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยา หนึ่งเดียวในโลก เนื่องในวันอาสาฬหบูชา 11 กรกฎาคมนี้

นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า จังหวัดพะเยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยาหนึ่งเดียวในโลก ครั้งที่ 23 เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปี 2557 ในวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2557 ณ วัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา โดยกำหนดการในวันดังกล่าวนั้น จะเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระสงฆ์ จำนวนกว่า 100 รูป ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงมากมาย อาทิ การแสดงฟ้อนขันดอก การแสดงสะล้อ ซอ ซึง การแสดงศิลปะพื้นเมือง ส่วนในภาค่ำนั้นจะเป็นกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอาราม กลางกว๊านพะเยา ซึ่งมีพระพุทธรูปหินทรายหลวงพ่อศิลา อายุกว่า 500 ปี ประดิษฐานประจำวัดติโลกอาราม โดยจะเริ่มพิธีตั้งแต่เวลา 17.00 เป็นต้นไป พร้อมชมการจุดพลุดอกไม้ไฟ และร่วมปล่อยโคมลอย

สำหรับการเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยานั้นถือเป็นการเวียนเทียนทางน้ำ หนึ่งเดียวในโลกที่จังหวัดพะเยา โดยรอบปีหนึ่งจะจัดเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา จังหวัดพะเยาจึงขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมพิธีเวียนเทียนทางน้ำ ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว



ข่าวโดย : ประมวล อุปกิจ
หน่วยงาน : สวท.พะเยา

จังหวัดพะเยา กำหนดจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยา หนึ่งเดียวในโลก เนื่องในวันอาสาฬหบูชา 11 กรกฎาคมนี้

วันนี้ (4 ก.ค.57) ที่ห้องประชุมภูกามยาว ศาลากลางจังหวัดพะเยา นายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานประชุมเพื่อเตรียมจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยาหนึ่งเดียวในโลก ครั้งที่ 23 เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปี 2557 โยมีหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ

โดยกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยาหนึ่งเดียวในโลก ครั้งที่ 23 กำหนดจัดขึ้นในวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2557 ณ วัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา โดยกิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระสงฆ์ จำนวนกว่า 100 รูป ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงมากมาย อาทิ การแสดงฟ้อนขันดอก การแสดงสะล้อ ซอ ซึง การแสดงศิลปะพื้นเมือง ส่วนในภาค่ำนั้นจะเป็นกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอาราม กลางกว๊านพะเยา ซึ่งมีพระพุทธรูปหินทรายหลวงพ่อศิลา อายุกว่า 500 ปี ประดิษฐานประจำวัดติโลกอาราม โดยจะเริ่มพิธีตั้งแต่เวลา 17.00 เป็นต้นไป พร้อมชมการจุดพลุดอกไม้ไฟ และร่วมปล่อยโคมลอย

สำหรับการเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยานั้นถือเป็นการเวียนเทียนทางน้ำ หนึ่งเดียวในโลกที่จังหวัดพะเยา โดยรอบปีหนึ่งจะจัดเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา จังหวัดพะเยาจึงขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมพิธีเวียนเทียนทางน้ำ ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว


ข่าวโดย : ทีมข่าว ส.ปชส.พะเยา
หน่วยงาน : ส.ปชส.พะเยา

จ.พะเยา แจงผู้ค้าสลากตั้งจุดขาย - ชะลอการทำสัญญาตัวแทนจำหน่าย และการจับกุมค้าเกินราคา

วันนี้ (4 ก.ค.57) ที่ห้องประชุมจอมทอง ศาลากลางจังหวัดพะเยา จังหวัดพะเยา โดยนายสรทร สันทัด ปลัดจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยเสมียนตราจังหวัด และคลังจังหวัด ได้เชิญตัวแทนจำหน่าย และผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลในจังหวัดพะเยากว่า 100 คน เข้าชี้แจงการจำหน่ายสลากฯ ตามนโยบาย คสช.ที่กำหนดให้แต่ละจังหวัดจำหน่ายสลากฯ ตามราคาฉบับละ 80 บาท และกำหนดให้มีจุดจำหน่าย 1 จุดที่ศาลากลางจังหวัด โดยสามารถซื้อได้รายละไม่เกิน 5 ฉบับ รวมถึงการชะลอการจับกุม สำหรับผู้จำหน่ายเกินราคา เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนผู้ซื่อสลากฯ และการชะลอการทำสัญญาตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยให้ตัวแทนรายเดิมยังคงได้รับสลากตามจำนวนที่ได้รับอยู่เดิมจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปง

นายสรทร สันทัด ปลัดจังหวัดพะเยา กล่าวว่า สำหรับที่จังหวัดพะเยา กำหนดจุดจำหน่ายสลากฯ ไว้ที่บริเวณหน้าศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัด ซึ่งจะมีการเปิดจำหน่ายในวันทำการตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น.ในราคาฉบับละ 80 บาทตามนโยบาย คสช.



ข่าวโดย : ทีมข่าว ส.ปชส.พะเยา
หน่วยงาน : ส.ปชส.พะเยา

บทความพิเศษ : ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในอาเซียนด้านการเมืองความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมเเละวัฒนธรรม อย่างไร

ด้านการเมืองความมั่นคง ประเทศไทยพยายามผลักดันให้อาเซียนดำเนินการด้านการส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจและการทูตเชิงป้องกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน เช่น การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับคู่เจรจา (ADMM Plus) และการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองเเละความมั่นคงในเอเชีย – แปซิฟิก (ARF) รวมทั้งได้ผลักดันการจัดตั้งเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEANWFZ) เเละส่งเสริมให้อาเซียนร่วมมือกันมากขึ้นในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในอาเซียน โดยผลักดันการจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและให้การสนับสนุนการทำงานของ (AICHR) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภูมิภาคต่าง ๆ ในการจัดทำปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งผู้นำอาเซียนได้รับรองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 21 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการเเข่งขันและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดยนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เป็นผู้เสนอเเละริเริ่มให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับอีก 6 ประเทศได้เเก่ จีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เเละนิวซีเเลนด์ นอกจากนี้ อาเซียนยังอยู่ระหว่างเจรจาทำข้อตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ (RCEP) ซึ่งจะนำไปสู่การค้าเสรีระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ ครอบคลุมประชากรเกินครึ่งของโลก โดยประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้ต่อไป อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันเเนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในอาเซียน โดยครอบคลุมทุกมิติ ได้เเก่ ความเชื่อมโยงด้านกายภาพ ด้านกฎระเบียบระหว่างประชาชน นำไปสู่การจัดทำแผนเเม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงในอาเซียน อันเป็นกรอบยุทธศาสตร์หลักที่จะช่วยสนับสนุนเกื้อกูลการดำเนินการด้านความเชื่อมโยงในกรอบอื่น ๆ ทั้งในระดับอนุภูมิภาคเเละทวิภาคี และต่อมาประเทศไทยยังได้ผลักดันเเนวคิดความเชื่อมโยงกับนอกภูมิภาค เพื่อขยายเครือข่ายการคมนาคมขนส่งไปสู่ประเทศนอกภูมิภาค

ด้านสังคมเเละวัฒนธรรม ประเทศไทยได้ผลักดันการสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างประชาคมอาเซียน โดยประเทศไทยได้ริเริ่มการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้เเทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน ผู้เเทน ภาคประชาสังคม และผู้เเทนเยาวชน เพื่อส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ อย่างเเข็งขันเพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม อาทิ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา สิ่งเเวดล้อม สาธารณสุข การลดช่องว่าง ด้านการพัฒนาและการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน เพื่อให้บรรลุการสร้างสังคมที่เอื้ออาทร และเเบ่งปันในอาเซียน รวมทั้งประเทศไทยยังพยายามขับเคลื่อนประชาชนให้เตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเรื่อยมา ซึ่งเป็นเส้นทางในอนาคตที่มีทั้งโอกาสเเละความท้าทายรออยู่



บุษรินทร์ บุญมี / เรียบเรียง

รู้ทันยุงลายตัวเมียฆาตรกรไข้เลือดออก ชอบกัดคน 6 ประเภท

นายแพทย์ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า จากข้อมูลของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข พบว่า ยุงลายชอบกัดคน 6 ประเภทด้วยกันคือ เด็กมากกว่าผู้ใหญ่เพราะกลิ่นและลักษณะผิวหนัง ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะฮอร์โมนแตกต่างกัน คนที่หายใจแรงเพราะคาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจจะเป็นตัวดึงดูดยุง คนที่ตัวร้อนเพราะอุณหภูมิบริเวณผิวหนังจะสูง คนที่มีเหงื่อออกมาก คนที่ใส่เสื้อผ้าสีเข้ม คำแนะนำการป้องกันไม่ให้ยุงกัด คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ฉีดไล่ยุง เครื่องไล่ยุงไฟฟ้า ใช้ยาจุดกันยุง ยาทากันยุงกัด หรือใช้กลิ่นของสมุนไพรไล่ยุง เช่น ตะไคร้หอม เป็นต้น และนอนในมุ้งติดมุ้งลวด หรือเปิดพัดลมไล่ยุง

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวต่อว่า เมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก คือ ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้เลือดออก เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่เชื้อ เพื่อเตรียมการป้องกัน ตนเองและคนในบ้าน แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อมาดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรคทันที ให้สมาชิกในครอบครัว ป้องกันการถูกยุงกัดตามคำแนะนำเบื้องต้น สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธุ์ยุงหรือไม่ หากมีให้จัดการเสีย เฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็น ไข้เลือดออก ให้ผู้ป่วยนอนในมุ้งเพื่อป้องกันยุงกัด

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวต่อท้ายว่า อย่างไรก็ตามอย่าชะล่าใจเพราะทุกคนก็มีโอกาสโดนยุงกัดได้หมด ควรระวังและป้องกันตัวไม่ให้ถูกยุงกัดจะดีที่สุด หากสงสัยบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ไข้สูงลอยนานเกิน  2 วัน ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึม เบื่ออาหาร หน้าแดง คอแดง ปวดศีรษะหรือปวดกระบอกตา อาจพบจุดเลือด ที่ผิวหนัง กดเจ็บชายโครงด้านขวา มักไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ให้สงสัยเป็นไข้เลือดออก และรีบไปรับการตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ให้ระลึกเสมอว่าฤดูฝนนี้เป็นช่วงของการระบาดของโรคไข้เลือดออก อย่านิ่งนอนใจจนไปพบแพทย์ช้าซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการหนัก รักษายากและอาจเสียชีวิตได้ และหากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร 1422




พวงพยอม  คำมุง / ข่าว

คสช. เร่งปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้เพื่อให้การขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเวลาต่อไปมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของเอกภาพและประสิทธิภาพในการบูรณาการตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่และความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานให้สอดรับกับอำนาจการบริหารราชการในปัจจุบัน โดยแบ่งการขับเคลื่อนงานเป็น 3 ระดับ คือ

          1. ระดับนโยบายมีหัวหน้า คสช. เป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งปวง โดยมี สมช.ให้การปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายรวมทั้งการจัดทำนโยบายการแก้ไขปัญหาในห้วงต่อไป คือนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ พ.ศ.2558 – 2560
          2. ระดับแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ มี รอง ผบ.ทบ.เป็นประธาน และ สมช. เป็นเลขานุการรับผิดชอบในการบูรณาการงานการแก้ไขปัญหาของหน่วย ส่วนราชการรวมทั้งกลไกที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ที่มีอยู่เดิม โดย กอ.รมน. ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และ ศอ.บต. ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 ร่วมกันเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการบูรณาการแผนการปฏิบัติให้มีการประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ รวมทั้งแผนงานโครงการของกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในมิติของงานด้านความมั่นคงและมิติของงานด้านการพัฒนา
         3. ระดับหน่วยปฏิบัติให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาทั้งหมดในพื้นที่ทั้งในมิติของงานด้านความมั่นคงแลงานด้านการพัฒนาโดย ศอ.บต. จัดตั้งศอ.บต.ส่วนหน้า ให้เป็นหน่วยในโครงสร้างการจัดของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สำหรับโครงสร้างการจัดและอัตรากำลังรวมถึงลักษณะการปฏิบัติงานของแต่ละส่วนงานนั้นจะได้กำหนดรายละเอียดต่อไป




พวงพยอม  คำมุง

“น่าน” คืนความสุขให้ประชาชนตามนโยบาย คสช. ตั้งจุดขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ใบละ 80 บาท

จังหวัดน่าน ตั้งจุดขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ใบละ 80 บาท ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดน่าน เริ่ม 4 กรกฎาคม 2557 เป็นวันแรก มีประชาชนมาเลือกซื้อสลากกันอย่างคึกคัก

ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศควบคุมราคาทั่วประเทศให้จำหน่ายสลาก กินแบ่งรัฐบาล ใบละ 80 บาท ซึ่งได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป และขอให้ทางจังหวัดทุกจังหวัด จัดสถานที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อจำหน่ายให้กับประชาชน นั้น จังหวัดน่านได้จัดแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้นที่บริเวณศาลากลางจังหวัดน่าน เพื่อให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการ และประชาชนทั่วไปได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ในราคาใบละ 80 บาท ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศไว้ ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ซื้อสลาก ตามนโยบายของ คสช. และยังเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชน

ทางด้าน นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดน่าน ได้ขอให้ผู้จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อยจังหวัด ได้มาตั้งแผงขายสลากฯ ในราคาใบละ 80 บาท ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดน่าน โดยเริ่มจำหน่ายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2557 เป็นวันแรก เพื่อให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนทั่วไป มาซื้อสลากฯในราคาที่กำหนด ซึ่งจังหวัดน่านได้รับการจัดสรรโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ รวมทั้งสิ้น 170 ราย จำนวน 755 เล่ม โดยแยกเป็นบุคคลทั่วไป จำนวน 158 รายและผู้พิการ จำนวน 12 ราย

สำหรับบรรยากาศของการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลของจังหวัดน่าน ในวันนี้(4 กค.57) มี บรรดาข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนทั่วไป ต่างพากันแห่ซื้อสลากินแบ่งรัฐบาลกันอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่ต่างแสดงความยินดีที่มีโอกาสได้ซื้อสลากฯ ได้ในราคา 80 บาท และขอบคุณ คสช. ที่จัดระเบียบในด้านการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคา 80 บาท ซึ่งทำให้ผู้ซื้อไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบและยังเป็นการคืนความสุขให้แก่ประชาชนอีกด้วย



รดา บุญยะกาญจน์/ภาพ ข่าว
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน

ผวจ.น่าน ปิดค่ายชีวิตใหม่ 10 หวังผู้เข้ารับการบำบัด ให้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข

ผวจ. น่าน เป็นประธานปิดค่ายชีวิตใหม่ ตามโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางใจ หวังให้ผู้เข้ารับการบำบัดปรับเปลี่ยนเจตคติ ทัศนคติ พฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด และกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข

ที่สถานีพัฒนาที่ดินน่าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานในพิธีปิดการอบรมตามโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ หรือ "ค่ายชีวิตใหม่ 10” โดยมีนายทัศนัย สุขเจริญ นายอำเภอเวียงสา กล่าวรายงานการดำเนินงานตามโครงการฯ ซึ่งอำเภอเวียงสาได้นำนโยบายในการแก้ไขปัญหายาเสพติด มาดำเนินงาน เพื่อสร้างความสุขขึ้นในสถาบันครอบครัว และความสงบสุขของชุมชน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยพสกนิกรชาวไทย ในปัญหาจากอิทธิพลการระบาดของยาเสพติด อีกทั้งปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา โดยมุ่งเน้นการค้นหาผู้เสพ/ ผู้ค้ายาเสพติดที่อยู่ในชุมชน โดยถือว่าผู้เสพคือ ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือให้เข้ารับการบำบัดรักษา ด้วยกระบวนการชุมชน-ประชาสังคม และให้โอกาสสมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป

โครงการค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม "ค่ายชีวิตใหม่ 10 ” กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2557 มีผู้เข้ารับการอบรม จำนวน 64 คน โดยศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอเวียงสา ร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจเวียงสา ชุดปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอเวียงสา โรงพยาบาลเวียงสา สาธารณสุขอำเภอเวียงสา และศูนย์วิวัฒน์พลเมืองจังหวัดทหารบกน่าน ได้ร่วมกันฝึกอบรมทั้งทางด้านการฝึกสติ กล่อมเกลาจิตใจ เป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากการฝึกอบรมจะทำให้ผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดที่สมัครใจเข้ารับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้กลับคืนสู่ชีวิตใหม่แก่ครอบครัวและสังคม และมีวิถีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเป็นปกติสุขในสังคมต่อไป


รดา บุญยะกาญจน์/ภาพ ข่าว
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ออกตรวจพื้นที่และมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการ ผวจ.หัวหน้าส่วนราชการพบประชาชน)

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ออกตรวจพื้นที่และมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โครงการ "ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบปะประชาชน" ประจำปีงบประมาณ 2557 และ "หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน" เพื่อให้หน่วยงานระดับจังหวัดออกหน่วยบริการประชาชน และพบปะประชาชนได้รับทราบปัญหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่นำมาวิเคราะห์หาทางช่วยเหลือและแก้ไข

วานนี้ (3 ก.ค. 57) เวลา 10.00 น. นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบปะประชาชน” ประจำปีงบประมาณ 2557 และ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” ณ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายให้จังหวัดดำเนินโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” โดยการจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่แบบบูรณาการในระดับจังหวัด อำเภอ ออกให้บริการประชาชนในลักษณะ (One Stop Service) ที่ให้บริการเชิงรุก งานบริการและกิจกรรมที่ประชาชนชื่นชอบ รวมทั้งจัดคลินิกแก้จน โดยยึดหลักประชาชนได้รับความสุขและได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง และได้จัดทำโครงการ “ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบปะประชาชน” ประจำปีงบประมาณ 2557 เพื่อให้หน่วยงานระดับจังหวัดออกหน่วยบริการประชาชน และพบปะประชาชนได้รับทราบปัญหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่นำมาวิเคราะห์หาทางช่วยเหลือและแก้ไข นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยได้มีนโยบายในการป้องกันสถาบันสำคัญของชาติเพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ตระหนักถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย จังหวัดเชียงใหม่จึงได้กำหนดจัดพิธีประกาศเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ ของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงานส่วนท้องถิ่น และประชาชน ทุกสาขาอาชีพ เข้าร่วมในงานครั้งนี้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดหน่วยบริการประชาชนเคลื่อนที่ในลักษณะหน่วยบริการเชิงรุกแบบเบ็ดสร็จไปบริการในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซึ่งหมายถึงว่าประชาชนจะได้รับการอำนวยความสะดวก ลดเวลาและภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางมารับบริการของประชาชน อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้รับทราบสภาพปัญหาความต้องการของพี่น้องประชาชน เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตลอดจนการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรที่ประสบภัยต่างๆและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ของทุกภาคส่วนในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต่ออีกว่า นโยบายการทำงานของจังหวัดใหม่ เรื่องแรกเน้นการรักษาทรัพยากรป่าไม้ เพราะปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดเชียงใหม่ได้ลดลงเกือบ 10% เมื่อเทียบจากปี พ.ศ.2552 จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 77% ล่าสุดปี พ.ศ.2556 พบว่า จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 68% ดังนั้นจังหวัดเชียงใหม่จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก รวมถึงการขอคืนพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกและยังสนับสนุนโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษามหาราชินี ฯ เพื่อปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าที่เสียหาย และเพิ่มเติมพื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงใหม่ให้มากขึ้น เรื่องที่สอง การแก้ปัญหาหมอกควันเพราะจังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแต่ด้วยปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและทำให้สภาพอากาศแย่จึงขอความร่วมมือให้ช่วยกันแก้ไขปัญหา เรื่องที่สาม การแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน เพราะปัจจุบันปัญหายาเสพติดมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล เพราะส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ทรัพย์สิน และที่สุดอาจเกิดอาชญากรรมได้ เรื่องสุดท้าย คือการที่จะทำให้สังคมเกิดความสมานฉันท์ และมีรอยยิ้มได้นั้น สิ่งสำคัญคือ “การปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ” เพื่อให้สังคมไทยเกิด “ความสงบ ความสันติ และความสามัคคี” พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วนเกิดความรัก ความหวงแหน และพร้อมที่จะปกป้องสถานบันชาติ ศาสนา และมหากษัตริย์ด้วยชีวิต และทำให้พี่น้องประชาชนชาวไทยรู้คุณแผ่นดินเกิด โดยเฉพาะ “รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” นอกจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกตรวจพื้นที่ที่ฝายหลวงน้ำแม่แจ่มที่ต้องการขุดลอกหน้าฝายและหลังฝาย เพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน และตรวจเยี่ยมพื้นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลแม่แจ่มแห่งใหม่


ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/พัชรินทร์ คำนาศักดิ์/คริษฐ์ ศุกรภาส
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ออกตรวจพื้นที่และมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการ ผวจ.หัวหน้าส่วนราชการพบประชาชน)

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตรวจเยี่ยมพื้นที่และมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการอำเภอจอมทองจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรับทราบปัญหาความต้องการของราษฎร และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วานนี้ (3 ก.ค. 57) เวลา 15.00 น. ณ ศาลาประชาคม ที่ว่าการอำเภอจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ปฏิบัติหน้าที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่และมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการ (โครงการ ผวจ.หัวหน้าส่วนราชการพบประชาชน) ได้พบปะและมอบนโยบายแนวทางปฏิบัติหน้าที่ราชการให้แก่นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงายทุกภาคส่วน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ในเขตพื้นที่ รับทราบปัญหาความต้องการของราษฎร เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า นโยบายการทำงานของจังหวัดใหม่ เรื่องแรกเน้นการรักษาทรัพยากรป่าไม้ เพราะปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดเชียงใหม่ได้ลดลงเกือบ 10% เมื่อเทียบจากปี พ.ศ.2552 จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 77% ล่าสุดปี พ.ศ.2556 พบว่า จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 68% ดังนั้นจังหวัดเชียงใหม่จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก รวมถึงการขอคืนพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกและยังสนับสนุนโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษามหาราชินี ฯ เพื่อปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าที่เสียหาย และเพิ่มเติมพื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงใหม่ให้มากขึ้น เรื่องที่สอง การแก้ปัญหาหมอกควันเพราะจังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแต่ด้วยปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและทำให้สภาพอากาศแย่จึงขอความร่วมมือให้ช่วยกันแก้ไขปัญหา เรื่องที่สาม การแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน เพราะปัจจุบันปัญหายาเสพติดมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล เพราะส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ทรัพย์สิน และที่สุดอาจเกิดอาชญากรรมได้ เรื่องสุดท้าย คือการที่จะทำให้สังคมเกิดความสมานฉันท์ และมีรอยยิ้มได้นั้น สิ่งสำคัญคือ “การปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ” เพื่อให้สังคมไทยเกิด “ความสงบ ความสันติ และความสามัคคี” พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วนเกิดความรัก ความหวงแหน และพร้อมที่จะปกป้องสถานบันชาติ ศาสนา และมหากษัตริย์ด้วยชีวิต และทำให้พี่น้องประชาชนชาวไทยรู้คุณแผ่นดินเกิด โดยเฉพาะ “รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”



ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา/พัชรินทร์ คำนาศักดิ์/คริษฐ์ ศุกรภาส
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสรุปผลการศึกษาการลดใช้สารเคมี ในการเกษตรแบบมีส่วนร่วมที่อำเภอแม่แตง จ.เชียงใหม่

ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสรุปผลการศึกษาพัฒนาแนวทางการลดใช้สารเคมีในการเกษตรด้วยกระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 102 คน เข้ารับรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อผลการศึกษา

วันนี้ (4 ก.ค.57) เวลา 09.00 น. ณ หอประชุมเทศบาลตำบลสันมหาพน ตำบลสันมหาพน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการสรุปผลการศึกษาพัฒนาแนวทางการลดใช้สารเคมีด้วยกระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 102 คน เข้ารับรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อผลการศึกษา

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากสถิติการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของประเทศไทยในทศวรรษที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2554 มีการนำเข้าสารออกฤทธิ์ จำนวน 68,964 ตัน คิดเป็นมูลค่า 17,732 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของข้อมูลในปี 2544 ที่มีการนำเข้าสารออกฤทธิ์ จำนวน 37,039 ตัน คิดเป็นมูลค่า 8,761 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการจัดการของภาครัฐในด้านการควบคุมการใช้สารเคมีทางการเกษตร ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดให้การลดสารเคมีในการเกษตรเป็นกลยุทธสำคัญในแผนพัฒนาและแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่าง ๆ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจกละสังคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ และแผนการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้น ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมจึงได้ดำเนินโครงการวิจัยการศึกษาพัฒนาแนวทางการลดใช้สารเคมีในการเกษตรด้วยกระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและวิธีการแก้ไขทั้งระบบด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งเกษตรกร หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และอื่น ๆ รวมทั้งการตรวจติดตามการปนเปื้อนของสารเคมีอย่างต่อเนื่องทั้งในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน เพื่อให้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ในการสร้างความตระหนักในการลดใช้สารเคมี หรือ หากมีความจำเป็นต้องใช้ควรเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ให้ปลอดภัยต่อไป การสัมมนาเชิงปฏิบัติการสรุปผลการศึกษาครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษา และข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องแก่เกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์และถ่ายทอดแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยคาดหวังจะเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารปลอดภัยจากสารเคมีกลุ่มต่าง ๆ ภายในอำเภอแม่แตง อันจะส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็งและมีศักยภาพด้านการผลิตพืชอาหารปลอดภัยสูงขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดต่อไป โดยการศึกษาวิจัยสามารถนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายของภาครัฐ ในการลดใช้สารเคมีในการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดปัญหามลพษในสิ่งแวดล้อมจากการเกษตร เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น รวมทั้งผลการศึกษาวิจัยจะส่งเสริมให้มีการผลิตอาหารแบบปลอดภัยจากสารเคมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ในปัจจุบันกระแสความนิยมในการผลิตและบริโภคสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยจากสารเคมีของไทย ได้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น การสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร สร้างความตื่นตัว และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตร จะมีส่วนช่วยในการขยายช่องทางการตลาด หรือการสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าเกษตรในชุมชน อีกทั้งประเทศไทยมีนโยบายที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้า การลงทุน การบริการ การคมนาคม และการท่องเที่ยว ทั้งในระดับอนุภูมิภาคและภูมิภาค ดังนั้น การปรับเปลี่ยนการผลิตพืชผักให้มีความปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด



ข่าวโดย : ราตรี จักร์แก้ว/ อนันต์ ชุ่มใจ
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

อบต.แม่สาบ จัดอบรมการทำผลิตภัฎฑ์เครื่องเรือนและของใช้ด้วยไฟเบอร์กลาส

องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ จัดโครงการ อบรมหลักสูตร การทำผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนและของใช้ด้วยไฟเบอร์กลาส โดยมีอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เดินทางมาเป็นประธาน

วานนี้ (3 กรกฎาคม 2557) เวลา 09.30 น. ดร.อรรชกา สีบุญเรือง อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นประธานในการเปิดโครงการ อบรมหลักสูตร การทำผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนและของใช้ด้วยไฟเบอร์กลาส ณ ที่ทำการ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สาบ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ โดยมี นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล นายอำเภอสะเมิง และประชาชน ให้การต้อนรับ

ดร.อรรชกา สีบุญเรือง กล่าวว่า ในการจัดการอบรมครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อประชาชนในอำเภอสะเมิงเป็นอย่างมาก เพราะการทำผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนและของใช้ด้วยไฟเบอร์กลาสนี้ เป็นการส่งเสริมพัฒนาบุคลากรวิสาหกิจในครัวเรือน ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ถือเป็นอาชีพที่สามารถเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน และวิสาหกิจชุมชนได้เป็นอย่างดี มีความสำคัญตอการพัฒนาระบบเศรษฐกิจไทย และเป็นการพัฒนาฝีมือบุคลากรให้มีทักษะความรู้ ความชำนาญด้านเทคนิคการทำผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนและของใช้ให้มีรูปแบบต่างๆ เป็นที่ต้องการของตลาด และสามารถแข่งขันทางธุรกิจกับประเทศอื่นๆได้อย่างมีคุณภาพ

หลังจากเปิดการอบรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมคณะ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ในอำเภอสะเมิง และนักเรียน ได้ร่วมกัน ปลูกต้นไม้และหญ้าแฝก เพื่อถวายพ่อแห่งแผ่นดิน ภายใต้โครงการ ปลูกป่าถวายพ่อแห่งแผ่นดิน



ข่าวโดย : ไผท สุวรรณเสวตร/สมัชญา หน่อหล้า
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือ

คณะกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ชุดที่ 78 เริ่มตรวจสอบคลังสินค้าที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายจำนวน 24 คลังสินค้าให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้

พลตรีศรายุธ รังษี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เชียงใหม่ พร้อมทีมงานคณะกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ชุดที่ 78 เข้าตรวจสอบปริมาณข้าวคงเหลือและสุ่มตรวจคุณภาพข้าวที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่คลังรุ่งเรืองเจริญพืชผล เลขที่ 108 หมู่ที่ 5 ตำบลเขื่อนผาก อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/2556 และปี 2556/2557 ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยคลังสินค้าแห่งนี้เป็นของนายรุ่งรัตน์ สุชนสมบัติ มีจำนวนทั้งสิ้น 4 คลังสินค้า โดยในวันนี้คณะทำงานได้ตรวจสอบยังคลังที่ 4 ซึ่งมีการเก็บรักษาข้าวขาวข้าวเหนียวจำนวน 3 กอง รวม 29,705 กระสอบ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบความผิดปกติ มีข้าวครบเต็มตามจำนวน คณะทำงานได้ทำการสุ่มเจาะข้าวขาวเพื่อนำกลับไปตรวจสอบชนิดข้าวและคุณภาพ ที่ศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ตามขั้นตอนต่อไป

จากนั้นคณะทำงานได้เข้าตรวจสอบคลังสินค้าที่ 1 ของนายสุชน ซึ่งเก็บรักษาข้าวขาวโครงการรับจำนำข้าวปี 2555/2556 และส่วนใหญ่มีการจำหน่ายไปแล้วกว่า18,000 กระสอบ โดยข้าวขาวที่เหลือมีจำนวนประมาณ 5,000 กระสอบ พบว่าข้าวเริ่มเสื่อมคุณภาพและเปลี่ยนสี ไม่เหมาะที่จะนำมารับประทาน แต่ยังสามารถนำไปทำเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์และวัตถุดิบอื่นๆ ได้

สำหรับคณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ชุดที่ 78 นี้จะทำการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวในจังหวัด เชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีคลังสินค้าที่เข้าร่วมโครงการในจังหวัดเชียงใหม่ 10 แห่ง และจังหวัดเชียงราย 14 แห่ง รวมเป็น 24 แห่ง ซึ่งจะดำเนินการตรวจให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคมนี้



ข่าวโดย : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

กสทช. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในการรับชมโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล จังหวัดเชียงใหม่

กสทช. การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจำนำข้อคิดเห็นที่ได้มาประมวลผลเพื่อสรุปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเกิดประโยชน์แก่สาธารณชน

วันนี้ (4 ก.ค. 57) เวลา 09.30 น. ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติดิเอ็มเพลส โรงแรมดิเอ็มเพลส อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) กำหนดจัดการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อการดำเนินโครงการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 โดยจะได้นำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาประมวลเพื่อสรุปและพิจารณาปรับปรุงโครงการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลก่อนนำไปรวบรวมเสนอเข้าที่ประชุม กสทช. และเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเกิดประโยชน์แก่สาธารณชน สำหรับวัตถุประสงค์ในการรับฟังความคิดเห็น 1.เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชาโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิตอลของประเทศไทย 2.เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้รับบริการด้านกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลโดยไม่จำกัดช่องทาง เพื่อการรับบริการอย่างทั่วถึง 3.เพื่อสนับสนุนคูปองให้ประชาชนสามารถเลือกใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ที่สามารถรับชมโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล โดยไม้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม โดยรองรับการแสดงผลตามมาตรฐานความคมชัดสูง (High Definition) และมีการประกันคุณภาพตามมาตรฐานที่ กสทช. กำหนด

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ระบุว่า เวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เสนอความคิดเห็น โดยมีประเด็นในการรับฟังความคิดเห็น คือ จำนวนครัวเรือนที่จะแจกจ่ายคูปอง มูลค่าคูปอง วงเงินที่คาดว่าจะใช้จ่ายจริงทั้งหมด กระบวนการแจกคูปอง และการนำคูปองไปใช้เป็นส่วนลดควรสามารถนำไปแลกซื้ออุปกรณ์ใดได้บ้าง ซึ่งหลังจากรับฟังความคิดเห็นครบทั้ง 4 ภูมิภาค จะสรุปและเสนอต่อ คสช. และคาดว่าจะเริ่มแจกจ่ายคูปองได้ในเดือนกันยายนนี้

ประเด็นการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เพื่อให้การดำเนินการโครงการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลมีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์แก่สาธารณชนสูงสุดต่อไป จึงได้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไป เพื่อนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาประมวลเพื่อสรุปและพิจารณาปรับปรุงโครงการต่อไป โดยมีประเด็นในการรับฟังความคิดเห็นดังนี้ 1.จำนวนครัวเรือนที่จะแจกคูปอง ซึ่งจะแจกทุกครัวเรือนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป เนื่องจากทรัพยากรคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนทุกคน 2.มูลค่าคูปอง (เป็นจำนวน 690 บาท ตามข้อ 10 วรรคสองของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้การบริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ พ.ศ. 2556 ที่กำหนดให้นำเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในส่วนของราคาขั้นต่ำไปใช้เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้รับบริการด้านกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลอย่างทั่วถึง หรือ 1,000 บาท ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้มีมติเห็นชอบ 3.วงเงินที่คาดว่าจะใช้จ่ายในการสนับสนุนทั้งหมด และกระบวนการแจกคูปอง 4.การนำคูปองไปใช้เป็นส่วนลด ควรสามารถนำไปแลกซื้ออุปกรณ์ใดได้บ้าง 1)เครื่องรับโทรทัศน์แบบมีจอภาพในระบบดิจิตอล (iDTV) ที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (DVB-T2 Digital Tuner) อยู่ในตัว (Built-in) 2)กล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตอลภาคพื้นดิน (Digital Terrestrial Transmission Set top box STB) พร้อมสายอากาศ ที่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอลภาคพื้นดิน DVB-T2 ได้ 3)กล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตอลผ่านดาวเทียมที่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตอลผ่านดาวเทียม DVB-S2 (Satellite Set top box: Satellite STB) หรือเทียบเท่าหรือดีกว่า 4)กล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตอลผ่านสายเคเบิลที่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตอลผ่านทางสายเคเบิล DVB-C (Cable TV Set top box : Cable TV STB)

สำหรับภูมิภาคอื่นๆที่จะจัดการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล อีก 3 เวที ได้แก่ จังหวัดสงขลาในวันที่ 5 กรกฎาคม จังหวัดขอนแก่นในวันที่ 8 กรกฎาคม และที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 10 กรกฎาคม ขณะที่ประชาชนที่ไม่ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านเวทีแต่ละภูมิภาค ยังสามารถส่งความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ของ กสทช. ได้จนถึงวันที่ 18 กรกฎาคมนี้


ข่าวโดย : ณัฏฐ์ สินันตา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.เชียงใหม่

จังหวัดเร่งสร้างแนวร่วมเครือข่ายกล้องวงจรปิด ในพื้นที่เสี่ยง ชุมชนต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม

จังหวัดเร่งสร้างแนวร่วมเครือข่ายกล้องวงจรปิด ในพื้นที่เสี่ยง ชุมชนต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยมี สถานประกอบการต่างๆ ในจังหวัดลำพูน ประมาณ 1,000 แห่ง เป็นแนวร่วม

เช้าวันนี้ (4 กรกฎาคม 2557) ที่ หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน นายอาณัติ วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดหวัดลำพูน เป็นประธานประชุมผู้บริหารสถานประกอบการต่างๆ ในจังหวัดลำพูน ประมาณ 1,000 แห่ง เพื่อให้ได้รับทราบถึงแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ตามแผนการป้องกันปัญหาดังกล่าว และขอให้สถานประกอบการทุกแห่งช่วยติดตั้งกล้องวงจรปิดทั้งในและพื้นที่โดยรอบสถานประกอบการของตนด้วยเพื่อเป็นเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ส่วนทางจังหวัดนั้นมีแผนงานที่จะติดตั้งกล้องวงจรปิด ( cctv )ในพื้นที่เสี่ยง ในชุมชนต่างๆ ในเขตอำเภอเมืองลำพูน โดยจะขอความร่วมมือให้สถานประกอบการต่างๆ สนับสนุน การติดตั้ง ระบบกล้องวงจรปิด จำนวน 41 จุด โดยจะใช้กล้องวงจรปิด 91 ตัว และจัดตั้งศูนย์ควบคุม 1 แห่ง สำหรับงบประมาณที่จะใช้ ติดตั้งกล้องวงจรปิด นั้น จะขอรับการสนับสนุนจาก ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปร่วมบริจาคเงินตามศรัทธา โดยจังหวัดจะจัดพิธีทอดผ้าป่า ในวันที่ 12 สิงหาคม 2557 ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เพื่อรวบรวมเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด ดังกล่าว



ข่าวโดย : เชาวรินทร์ สอนปาละ
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

จังหวัดลำพูน สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันยาเสพติด ควบคุมพื้นที่เสี่ยง/ปัจจัยเสี่ยง ออกตรวจร้านจำหน่ายสุราและควบคุม ตามกฎหมาย พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 พบกระทำผิด 62 แห่ง ให้เลิกขาย 31 แห่ง และให้ขอใบอนุญาตฯ 31

นายจำลอง เณรแย้ม ปลัดจังหวัดลำพูน ได้เปิดเผย เกี่ยวกับแผนการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันยาเสพติด ควบคุมพื้นที่เสี่ยง/ปัจจัยเสี่ยง ของศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัดลำพูน ( ศพส.จ. )ว่า ในปีงบประมาณ 2557 จังหวัดลำพูนมีเป้าหมายควบคุมพื้นที่เสี่ยงทั่วไปทั้ง 8 อำเภอ รวม 103 แห่ง และพื้นที่เสี่ยงรอบสถานศึกษา 38 แห่ง

ผลการตรวจพื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 – พฤษภาคม 2557 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ที่ทำการปกครองจังหวัด ( ชุดจัดระเบียบสังคม ) , สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด , สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ , สำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษา เขต 1 และ ศพส.อ ได้ร่วมกันออกตรวจพื้นที่เสี่ยง ต่อการกระทำผิด เกี่ยวกับ ยาเสพติด ทั้งร้านจำหน่ายสุรา สถานบริการ ร้านเกมส์ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงทั่วไป รวม 90 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 87.4 ของเป้าหมาย และพื้นที่เสี่ยงรอบสถานศึกษา ได้ออกตรวจ รวม 26 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 68.4

นอกจากนี้ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ลำพูน ได้ออกตรวจร้านจำหน่ายสุราและควบคุมร้านจำหน่ายสุราให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.สุรา พ.ศ. 2493 รวม 1,061 แห่ง พบ กระทำ ผิดเกี่ยวกับใบอนุญาตฯ จำนวน 62 แห่ง ปรับเป็นเงินจำนวน 49,700 บาท ให้เลิกขาย 31 แห่ง เนื่องจากไม่สามารถออกใบอนุญาตขายสุราได้ เพราะ ไม่มีสำเนาทะเบียนบ้าน และให้ขอใบอนุญาตได้ จำนวน 31 แห่ง



ข่าวโดย : นศ. ฝึกประสบการณ์ นางสาวเกศกนก แสงจันทร์
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ผบ.กกล.รส.7 สย.1 จ.ลำพูน นำคณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบข้าวสารที่โกดังโครงการจำนำข้าว ที่ตำบลม่วงน้อย อำเภอ ป่าซาง จังหวัดลำพูน

เช้าวันนี้ ( 4 กรกฎาคม 2557) นายโอภาศ กลั่นบุศย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ชุดที่ 63 พร้อมด้วยนายสุวรรณ กล่าวสุนทร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พันเอกบุญยืน อินกว่าง ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1 จังหวัดลำพูน ร่วมกับ การค้าภายในจังหวัดลำพูน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำพูน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้แทนจากองค์การคลังสินค้า ได้ร่วมกันตรวจสอบ ปริมาณ และ คุณภาพของข้าว ที่ผ่านการสีแปรสภาพ แล้วเก็บรักษาภายในโกดัง ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/2556 ที่โกดังเมืองเจริญ ตำบลม่วงน้อย อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวที่ได้เข้าร่วมโครงการฯ กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เปิดรับมอบข้าวเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน – 31 ตุลาคม 2556 โดยมีปริมาณข้าวสารที่รับมอบ 38,609 กระสอบ คิดเป็นปริมาณ 3,854.6 ตัน

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าการจัดวางเรียงกระสอบข้าวไม่เป็นระเบียบทำให้การตรวจสอบต้องใช้เวลานานผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบแห่งชาติ กองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1 จังหวัดลำพูน จึงได้หารื้อร่วมกัน และเห็นควรให้ผู้จัดเก็บได้จัดเรียงกระสอบข้าวให้เป็นระเบียบให้ถูกต้องตามบัญชีการรับมอบ จึงสั่งการให้ปิดโกดังเก็บข้าวเป็นการชั่วคราว และให้จัดเรียงกระสอบข้าวให้เรียบร้อยเพื่อให้สะดวกในการตรวจสอบข้าวอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงจะเข้าไปตรวจสอบใหม่ ทั้งจะได้ตรวจสอบถึงขั้นตอนการส่งและรับมอบข้าวด้วย



ข่าวโดย : อรณิชา อินทา
    หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำพูน

จังหวัดกำแพงเพชร จัดงานสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขสู่ประชาชน

วันนี้ (4 ก.ค. 57) เวลา 10.00 น. ที่หอประชุมโรงเรียนคลองขลุงราษฎร์รังสรรค์ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พันเอก อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบ กองพลทหารราบที่ 4 พร้อมด้วย นายสุรพล วานิชเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประเสริฐ กาฬรัตน์ ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร ร่วมกันจัดงานสมานฉันท์ คืนความสุขสู่ประชาชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยงาน พ่อค้า ประชาชน องค์กรภาคเอกชน นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข และรอยยิ้มของประชาชน ซึ่งภายในงานยังได้จัดบูทให้บริการต่างๆของหน่วยงานราชการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ห่างไกลศูนย์ราชการ

พร้อมทั้ง มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน และเด็กด้อยโอกาส มอบรถจักรยานให้กับนักเรียนที่อยู่ไกลโรงเรียนเพื่อสะดวกแก่การมาเรียน และมอบถุงยังชีพให้กับประชาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น พร้อมทั้งมีกิจกรรมเล่นเกมส์ แจกของรางวัลให้ประชนได้ร่วมสนุกและรับของรางวัลกลับบ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร กล่าวว่า ตามที่จังหวัดกำแพงเพชร จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป จังหวัดกำแพงเพชร ขึ้น เพื่อสร้างความปรองดอง ลดความขัดแย้ง สร้างความสามัคคีจากหมู่บ้านสู่ประเทศ เพื่อเตรียมเข้าสู่การปฏิรูปประเทศ ซึ่งการดำเนินงานในครั้งนี้ได้กำหนดจัดกิจกรรม "คืนความสุขสู่ประชาชน” ร่วมปรองดองสมานฉันท์ชาวกำแพงเพชร ซึ่งจัดให้มีกิจกรรมร่วมกันทุกภาคส่วน วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง สลายแนวคิดที่แตกต่าง ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม และสร้างสำนึกทุกกลุ่มทุกฝ่าย มีความรัก ความสามัคคีปรองดองโดยตระหนักถึงพื้นฐาน จารีต วัฒนธรรม ประเพณีและสิ่งแวดล้อมในสังคมร่วมกัน ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักด้วยผู้คนที่หลั่งไหลทยอยร่วมกิจกรรม สร้างความสุขในโครงการหลายพันคน ทุกคนต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ท่ามกลางความสุขสนุกสนานและอบอุ่นของชาวกำแพงเพชร



นิพนธ์ รอดทรัพย์ / ข่าว
ผู้ตรวจ นายรวีโรจน์ ส่องศรี ประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร

จังหวัดเพชรบูรณ์ ชี้แจงนายจ้างและแรงงานต่างด้าวตามนโยบาย คสช.เพื่อให้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย

ที่ห้องบุษราคัม โรงแรมบูรพา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ นายสุชาติ ราษฎร์ดุษดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานการประชุมชี้แจง กับผู้ประกอบการ ต่อการปฏิบัติตามมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ระยะที่ 1 เป็นการชั่วคราวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ทั้งนี้มีตัวแทนสถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว เข้าร่วมรับฟังและซักถามถึงข้อสงสัยและปัญหาต่าง ๆ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย จัดหางานจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน การปฏิบัติตามแนวทางที่ คสช. กำหนด

จัดหางานจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ยังไม่มีนโยบายที่จะเร่งรัดจับกุมกวาดล้างแรงงานต่างด้าวตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งนี้ขอให้ผู้ประกอบการ นายจ้าง จัดทำบัญชีรายชื่อแรงงานต่างดาวที่อยู่ในความดูแล โดยแยกแรงงานที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมายออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อง่ายต่อการจัดระเบียบในช่วงเวลาต่อไป โดยส่งรายชื่อให้สำนักงานจัดหางานจังหวัด ต่อไป

จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2557 นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบก การจัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ รถตู้โดยสาร รถยนต์รับจ้าง รถจักรยานยนต์รับจ้าง ตามนโยบาย คสช, ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายให้จัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ เพื่อความสะดวก และปลอดภัยในการใช้บริการของประชาชน โดยได้ส่งผู้แทนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองพลทหารม้าที่ 1 เข้าร่วมประชุมหารือกับ ขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อหาแนวทางในการจัดระเบียบรถอย่างเป็นระบบ เอื้ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย ในการใช้บริการของประชาชน โดยในวันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้มอบขนส่งจังหวัด จัดทำข้อมูลรถที่มีทั้งจังหวัด ประวัติผู้ขับรถสาธารณะ ให้เป็นฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มอบเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดทำแผนที่จุดจอดรถ เส้นทาง พร้อมกับให้ขนส่งจัดทำศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำหรับจังหวัดเพชรบูรณ์ มีวินรถตู้โดยสารทั้งป้ายดำและป้ายเหลือง รวม 6 แห่ง ซึ่งยังมีที่ยังไม่ถูกกฎหมาย เบื้องต้นให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจังหวัดจะดำเนินการตามนโยบาย คสช. คือใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก

จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรณีเกิดแผ่นดินไหวและอัคคีภัย

บ่ายวันนี้ (4 ก.ค.) ที่โรงเรียนวิทยานุกูลนารี อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ นายคณีธิป บุณยเกตุ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดการฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด ประจำปี 2557 กรณีเกิดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและการระงับอัคคีภัย โดยสมมติเหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ทำให้อาคารเรียนสี่ชั้นของโรงเรียนพังถล่มและเกิดเพลิงไหม หลังจากเกิดเหตุการณ์ศูนย์ระดับจังหวัดได้แจ้งเครือข่าย หน่วยงานเข้าช่วยเหลือผู้ประสพภัยโดยเน้นกู้ชีพเป็นสำคัญ ต่อมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เข้าร่วมอำนวยการฝึกซ้อม ซึ่งการฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี และจะได้สรุปผลการฝึกซ้อมเพื่อหาจุดบกพร่อง นำมาแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น ต่อไป

คณะตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว 3 ชุด ตรวจสต๊อกข้าวในโกดัง จังหวัดเพชรบูรณ์

วันที่ 4 กรกฎาคม ๒๕๕๗ น.ส.อัมพวัน เจริญกุล ผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าชุดตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวชุดที่ ๕๑ พร้อมนายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.เพชรบูรณ์ พ.ท.อัศพงษ์ นิลพันธ์ ผบ.ม พัน 18 นำเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้ารวมทั้งการค้าภายในจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจสอบโกดังศันทนีย์โลจิสติก อ.หนองไผ่ ซึ่งมีนายพูลศักดิ์ บุ้นประสิทธิชัยเป็นเจ้าของ โดยโกดังดังกล่าวจัดเก็บข้าวสาร 5 เปอร์เซ็นต์ปีการผลิต 2556/57 ปริมาณข้าวสารจำนวนราว 27,234 ตัน หลังการสุ่มตรวจโดยการเจาะลงไปกลางกองกระสอบข้าวไม่พบสิ่งผิดปกติแต่มีการปนเปื้อนจากมอดแมลงเล็กน้อย นอกจากนี้คณะนายวิเชียรยังได้ไปร่วมตรวจสอบโกดังอ.เลิศพืชผลหลังที่ 3/1 ที่อ.บึงสามพัน ซึ่งมีนายวิมล จำนงบุตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเป็นหัวหน้าชุด โดยโกดังแห่งนี้ เก็บข้าวสารปีการผลิต 2556/57 ปริมาณข้าวสาร 9,333 ตันเศษ และยังไปตรวจเยี่ยมคณะตรวจสอบข้าวชุดที่ ๙๒ โดยมี นายกรีฑา สพโชค ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานเป็นหัวหน้าชุด ตรวจสอบโกดัง บจก.ชนแดนการเกษตร ปริมาณราว 4,435ตัน โดยพบกองข้าวมีร่องรอยถูกรื้อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ อคส.ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้มีการจำหน่ายข้าวออกไปและยังไม่ได้เรียงกระสอบข้าวใหม่ แต่มีคำสั่งให้ปิดโกดังก่อน จึงทำให้ดูเหมือนเป็นกองข้าวล้ม

กปร.จัดประชุมเชิงปฎิบัติการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในลักษณะการพัฒนาพื้นที่เชิงบูรณาการ

สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร.จัดประชุมเชิงปฎิบัติการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในลักษณะการพัฒนาพื้นที่เชิงบูรณาการ ที่จังหวัดพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมพระพุทธชินราช ชั้น 7 ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก หม่อมหลวงจิรพันธุ์ ทวีวงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร. เปิดการประชุมเชิงปฎิบัติการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในลักษณะการพัฒนาพื้นที่เชิงบูรณาการ ในพื้นที่ของจังหวัดพิษณุโลก พร้อมบรรยายพิเศษเรื่องโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในลักษณะการพัฒนาพื้นที่เชิงบูรณาการ โดยมีนายวิทูรัช ศรีนาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกพร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ สำหรับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสาน งานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร. ในฐานะหน่วยงานกลางในการประสานการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระ ราชดำริ ในลักษณะพื้นที่เชิงบูรณาการ โดยได้ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ เกษตรจังหวัด ประมงจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด หัวหน้าสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัด พัฒนาการจังหวัด และสำนักส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดเข้าร่วมประชุม จำนวนกว่า 100 คน นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และกระบวนการเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำให้แก่กลุ่มผู้ใช้น้ำ การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วม รวมทั้งหาต้นแบบแห่งความสำเร็จ และเครือข่ายกลุ่มผู้ใช้น้ำที่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี เพื่อมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่อไป

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ขอเชิญนักท่องเที่ยวที่สนใจร่วมสัมผัส กับสภาพอากาศเที่ยวป่าหน้าฝน ชมดอกเปราะภู ที่กำลังเบ่งบาน

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ขอเชิญนักท่องเที่ยวที่สนใจร่วมสัมผัส กับสภาพอากาศเที่ยวป่าหน้าฝน ชมดอกเปราะภู ที่กำลังเบ่งบาน ออกดอกเป็นสีขาวสด ซึ่งแตกต่างกับอุทยานแห่งชาติอื่นที่จะออกดอกเป็นสีชมพู รอนักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชม

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ที่บนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งขณะนี้มีดอกไม้นานาพันธุ์กำลังผลิบานต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะดอกเปราะภู ที่มีสีขาวสดที่สุดในปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้กลายเป็นจุดสำคัญๆบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ไม่ว่าลานหินปุ่ม ลานหินแตก และบริเวณรอบๆ ที่ทำการอุทยาน เต็มไปด้วยดอกเปราะภู ที่ขาวสะพรั่ง ไม่เหมือนที่อื่นๆ เนื่องจากดอกเปราะภู ส่วนใหญ่ที่ขึ้นตามอุทยานแห่งชาติ นั้นจะมีแต่สีชมพู แต่ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จะเป็นสีขาว เนื่องจากแต่ละภูมิศาสตร์มีสภาพที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ดอกเปราะภู มีสีขาวสดสวยงาม ด้านนายสุวรรณ ภานุนำภา หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ในช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากยังคงนิยมขึ้นมาเที่ยวบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฏาคมถึงสิงหาคม บรรยากาศป่าหน้าฝนบนภูหินร่องกล้านั้น มีความงดงามไม่แพ้เที่ยวในฤดูหนาว และเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ความงามให้นักท่องเที่ยวได้ชมเที่ยวป่าหน้าฝนบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ที่ระดับความสูง 1,300-1,400 เมตร ซึ่งหากนักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยวชมและสัมผัสกับสภาพอากาศป่าฝน ชมดอกไม้นานาพันธุ์ ก็สามารถมาเที่ยวชมกันได้ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก

โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก จัดพิธีถวายพระพร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก จัดพิธีถวายพระพร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

เช้าวันนี้ ( 4 ก.ค. 57 ) ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก นายวิโรจน์ นาคคงคำ ผู้อำนวยการโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก นำคณะครู นักเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยชั้นมัธยม ปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 เข้าร่วมลงนามถวายพระพร ต่อหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ท่าน เพื่อให้คณะครูและบุคลากรทุกคนแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ในพระกรุณาของพระองค์ที่มีต่อโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก เป็นการแสดงความจงรักภักดี ในฐานะที่เราราษฎรในพระองค์ และยังได้โปรดเกล้าให้นำพระนามของพระองค์มาเป็นชื่อของโรงเรียนด้วย นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่ได้รับพระกรุณา และเป็นมงคลแก่นักเรียน เป็นการเตรียมความพร้อม ที่จะเข้าสู่การศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ในระดับอุดมศึกษา เพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีในอนาคต น ความรู้มาช่วยเหลือพัฒนาประเทศชาติ ให้ก้าวหน้าทันอารยประเทศ ตลอดจนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นลูกศิษย์ที่ดีของครู และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศสืบไป และในภาคบ่ายโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก จะได้นำนักเรียนทุนการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ในระดับ ชั้นมัธยมปีที่ 1 และชั้นมัธยมปีที่ 4 จำนวน 236 เข้าพิธีรับหมวกหน้าพระฉายาลักษณ์เป็นการประดับเกียรติยศให้กับนักเรียน ที่จะได้เกิดความภาคภูมิใจและแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่คนไทยทุกคนเคารพรักเทิดทูนตลอดมา

กอ.รมน. จังหวัดพิษณุโลกชี้แจงกรณีข่าวลือเกี่ยวกับการปราบปรามการกวาดล้างจับกุม แรงงานต่างด้าวของ คสช.

กอ.รมน. จังหวัดพิษณุโลกชี้แจงกรณีข่าวลือเกี่ยวกับการปราบปรามการกวาดล้างจับกุม แรงงานต่างด้าวของ คสช.

พ.อ.โอฬาร หาญสุรภานนท์ รอง ผอ.รมน.จังหวัดพิษณุโลก ปฎิบัติราชการแทน ผอ.รมน.จังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวลือว่า คสช. จะทำการกวาดล้าง จับกุม แรงงานต่างด้าว ที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย จนทำให้เกิดความหวาดกลัว และตื่นตระหนก จนมีการเคลื่อนย้ายกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากผ่านช่องทางต่างๆ ตามแนวชายแดน ดังปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ นั้น เพื่อมิให้แรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ตลอดจนประชาชนทั่วไปตื่นตระหนกต่อข่าวลือดังกล่าว จนเกิดผลกระทบต่อการประกอบการในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆของประเทศ จึงขอประชาสัมพันธ์ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแรงงานต่างด้าว ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปดังนี้ 1. คสช. ไม่มีนโยบายปราบปราม กวาดล้าง แรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ตามที่ปรากฏในข่าวลือแต่ประการใด โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา เพราะภารกิจหลักของ คสช. คือการคืนความสุขให้กับประเทศ รวมถึงการตรวจจับอาวุธปืนสงคราม การกระทำผิดกฎหมายทั่วไปที่กระทบต่อความมั่นคง 2. นโยบายการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวตามแนวทางของ คสช. จะเป็นการบริการจัดการแรงงานต่างด้าว ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล มีมนุษยธรรม และมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

ซึ่งระยะแรกประเทศไทยจะดำเนินการ ในเรื่องการบังคับใช้แรงงานเด็ก หรือกิจกรรมใดๆ ที่นำไปสู่การค้ามนุษย์ เพื่อจับกุมกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง และให้เป็นไปตามหลักสากล 3. สำหรับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ได้แก่ แรงงานประมง หรือทำงานทางเรือ ซึ่งควบคุมยากกว่าแรงงานทางบก รวมทั้ง แรงงานสิ่งทอและไร่อ้อย โดยแนวทางแก้ปัญหา ให้ดำเนินการอย่างถูกต้องเหมาะสมและเป็นธรรม ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง แรงงานต่างด้าว ต้องขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ทำงานได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบซ่อน รวมทั้งได้รับการดูแล รักษาพยาบาลอย่างถูกหลักสุขลักษณะ 4. การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวเป็นหน้าที่หลักของกระทรวงแรงงาน โดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ซึ่งในระดับจังหวัดจะมีสำนักงานแรงงานจังหวัด เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดระเบียบแรงงานทั่วไป และแรงงานต่างด้าว เช่น การจัดหางาน การขึ้นทะเบียนแรงงาน เป็นต้น 5. กอ.รมน.จังหวัด ได้ประสานกับสำนักงานแรงงานจังหวัด ดำเนินการตามแนวทางที่ คสช. กำหนดต่อไป ดังนั้น กอ.รมน.จังหวัดพิษณุโลก จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน

คณะทำงานตรวจสอบคุณภาพข้าวชุดที่ 91 ลงพื้นที่ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ตามโครงการรับจำนำข้าว ปี 2556/2557 ที่ อำเภอพรหมพิราม

ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และประธานคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพข้าวชุดที่ 91 พร้อมเจ้าหน้าที่ทหารปืนใหญ่ ที่ 104 ลงพื้นที่ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ตามโครงการรับจำนำข้าว ปี 2556/2557 ที่ อำเภอพรหมพิราม เบื้องต้นไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด

เช้าวันนี้ (4 ก.ค. 57 ) ที่คลังสินค้ากลาง อตก. ของ บจก. เกษตรไพศาลธัญกิจจำกัด หลังที่ c9- c10 เลขที่ 2/2 หมู่ 2 ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก นายอารักษ์ พรหมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และประธานคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพข้าวชุดที่ 91 พร้อมด้วย พ.ท.รังสรรค์ คุ้มภาษี ผบ.ป.พัน 104 และคณะเจ้าหน้าที่ทหาร นำกำลังเข้าตรวจสอบโกดังคลังสินค้ากลาง อตก. บจก. เกษตรไพศาลธัญกิจจำกัด ซึ่งโกดังคลังสินค้านี้ได้เก็บข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ปี 2556/2557 เป็นข้าวขาว 5% จำนวน 243,285 กระสอบ น้ำหนักกว่า 24 ล้านกิโลกรัมโดยทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสุ่มตรวจและเจาะกองข้าว กองที่ 3 ลึกลงไป 5 ชั้น เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดปกติ ซึ่งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และประธานคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพข้าว ชุดที่ 91 กล่าวว่า ในการตรวจสอบครั้งนี้จะตรวจสอบคุณภาพข้าวและปริมาณที่แจ้งไว้กับรัฐบาล เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่พบ คือ การรมยาฆ่ามอดของทางโรงสีบางแห่งนั้น ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากต้องสูดดมสารเคมีเข้าไป ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย อย่างไรก็ตามการลงพื้นที่ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวครั้งนี้ เป็นไปตามคำสั่งของ คสช. ซึ่งถือว่าเป็นแห่งแรกของ จังหวัดพิษณุโลก ที่ทางเจ้าหน้าเริ่มเข้ามาทำการตรวจสอบ

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 9 จังหวัดพิษณุโลก

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 9 จังหวัดพิษณุโลก เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพงานส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธานในพิธีเปิดสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 9 จังหวัดพิษณุโลก โดยมีนายวัฒนะ กันนะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต้อนรับ โดยสำนักงานแห่งใหม่ตั้งอยู่ริมถนนสายพิษณุโลก – หล่มสัก พื้นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีขอบเขตการรับผิดชอบงานด้านพัฒนาและส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วยจังหวัดพิษณุโลก ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ พิจิตร เพชรบูรณ์ อุทัยธานี และศูนย์ปฏิบัติการ 5 ศูนย์ นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีภารกิจที่หลากหลายและครอบคลุมในทุกพื้นที่ อีกทั้งเป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล มีภารกิจที่สำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาการเกษตรและงานนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกร เช่น การทำสมุดทะเบียนเกษตรกร การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และการดำเนินงานตามมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพ จึงได้เปิดสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขต 9 จังหวัดพิษณุโลก อีก 1 แห่ง เพื่อให้เป็นหน่วยติดตาม กำกับ ประเมินผลและตรวจราชการแทนกรม เป็นศูนย์ข้อมูลสารสนเทศในระดับเขต และเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการให้กับ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง โดยการเชื่อมโยงงานวิชาการจากส่วนกลางและศูนย์ปฏิบัติการ

ประชาชนในพื้นที่ตำบลวังพิกุลกว่า 300 คน เข้ารับ ฉีดวัคซีนป้องกัน "โรคไข้หวัดใหญ่" ตามฤดูกาลในปี 2557

ประชาชนในพื้นที่ตำบลวังพิกุลกว่า 300 คน เข้ารับ ฉีดวัคซีนป้องกัน "โรคไข้หวัดใหญ่" ตามฤดูกาลในปี 2557 เพื่อลดความเสี่ยงการป่วยและเสียชีวิตในช่วงฤดูกาลระบาดคือฤดูฝน

เช้าวันนี้ ( 4 ก.ค. 57 ) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลฯได้เปิดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 2 กลุ่ม กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงสัมผัสโรคขณะดูแลผู้เจ็บป่วย และกลุ่มประชาชน 4 กลุ่มที่มีความเสี่ยงเมื่อป่วยแล้วจะมีภาวะแทรกซ้อนอันตรายสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ได้แก่ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป กลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี และกลุ่มผู้ป่วยทุกอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค ได้แก่ เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ไตวาย หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ และโรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัดตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งปีนี้ได้รณรงค์ฉีดให้เร็วขึ้น เพื่อให้มีผลทันต่อการป้องกันก่อนจะเข้าสู่ฤดูกาลระบาดใหญ่ของโรค คือฤดูฝน ประมาณเดือนกรกฎาคม-กันยายน เพื่อลดการป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้ โดยบรรยากาศในวันนี้มีประชาชนในกลุ่มเสี่ยงและผู้สูงอายุกว่า 300 คนมารับบริการ

รอง ผอ.กอ รมน.พิษณุโลก ลุยตรวจพื้นที่ถูกบุกรุกเขาเรดาห์ ถางเพิ่มจาก 621 ไร่ เป็น 931 ไร่ เจอบ้านหรู 1 หลัง ตั้งเด่นบนยอดเขา

รอง ผอ.กอ รมน.พิษณุโลก ลุยตรวจพื้นที่ถูกบุกรุกเขาเรดาห์ ถางเพิ่มจาก 621 ไร่ เป็น 931 ไร่ เจอบ้านหรู 1 หลัง ตั้งเด่นบนยอดเขาเรดาห์ รุดเจรจาขอคืนพื้นที่ทันที เหตุตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติลุ่มน้ำวังทองฝั่งขวา

เช้าวันที่ (4 มิ.ย.57 ) พ.อ.โอฬาร หาญสุรภานนท์ รอง ผอ.กอ.รมน.พิษณุโลก พร้อมด้วยนาย ธนัช เนมีย์ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก นายอำเภอวังทองและตำรวจ สภ.วังทอง และเจ้าหน้าที่ป่าไม้จากหน่วยป้องกันและรักษาป่า ร่วมสนธิกำลังที่ อบต.วังนกแอ่น โดยมีเป้าหมายตรวจยึดผืนป่าบริเวณเขาเรดาห์ เบื้องต้นพบว่า มีพื้นที่จำนวนทั้งหมดกว่า 931 ไร่ถูกบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติลุ่มน้ำวังทองฝั่งขวา บริเวณยอดเขาคลองห้วยไคร้ (เขาเรดาร์) เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าดำเนินการและจับกุมแล้ว แต่บางแปลงยังไม่มีความคืบหน้า โดยทุกแปลงมีชื่อระบุตามแปลงเลขที่ 1 – 20 เริ่มจากคดีการจับกุม เลขที่คดี 18/50 คดีเลขที่ .28/50 คดีเลขที่ 99/51 จนถึงคดีเลขที่ล่าสุด 128/56 โดยให้หัวหน้าหน่วยแต่ละหน่วยเป็นผู้ทำหน้าที่เช็คพิกัด ตรวจสอบสถานะพื้นที่ล่าสุด เนื่องจากทั้ง 20 แปลงหรือคดีนั้น บางคดี ได้ดำเนินการถึงที่สุดแล้ว, ยื่นฟ้องอยู่ในชั้นอัยการ, งดการสอบสวน, ขอทราบผลคดี สั่งไม่ฟ้อง ต่อมาคณะของ รอง ผอ.กอ.รมน.พิษณุโลก, ป่าไม้และสปก.พิษณุโลก เดินทางไปดูพื้นที่แปลงพื้นฟูสภาพป่า ตามยุทธการขอพื้นที่ป่าไม้คืนจำนวน 200 ไร่ ที่บ้านบ้านบ่อหมู่ 3 ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พร้อมกับตัดต้นยางพาราและถางป่าให้อยู่สภาพสมบูรณ์ จากนั้นทั้งคณะเดินทางต่อไปยังบ้านหรู ซึ่งมีนางสมบัติ บุกิ่ง ชาวบ้านเลขที่ 23/1 หมู่ 3 ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เป็นเจ้าของ โดยที่ พ.อ.โอฬาร กล่าวกับเจ้าของบ้านทันทีว่า บ้านที่อยู่นั้นผิดกฎหมายอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้นางสมบัติ พูดไม่ออก บอกแต่เพียงว่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเนื่องจากเป็นของสามีที่เลิกกันไปแล้ว ไม่มีอาชีพใดๆ หากยึด ก็ไม่มีที่อยู่อาศัย หากไล่ไปก็ขอที่อยู่แห่งใหม่ พ.อ.โอฬาร หาญสุรภานนท์ รอง ผอ.กอ.รมน.พิษณุโลก กล่าวว่า สร้างบ้านหรูตั้งอยู่บนเขาเรดาห์หลังนี้ ผิดกฎหมาย จะต้องยืดคืนเพื่อให้เป็นตัวอย่าง โดยใช้วิธีพยายามเจรจาต่อรอง ให้นางสมบัติ บุกิ่ง ออกจากพื้นที่ แต่ไม่มีการจับกุม จะต้องขอคืนพื้นที่ด้วยการเซ็นยินยอมให้ออกจากป่าสงวน คาดว่า ไม่เกิน 1 สัปดาห์น่าจะรู้ผล หลังจากนี้อาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือ อบต.นำพื้นที่ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนร่วม สถานที่พักผ่อน ถือว่า เป็นสมบัติสาธารณะประโยชน์สามารถใช้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีบ้านหรูลักษณะเดียวกันกับนางสมบัติประมาณ 3-4 แห่ง อยู่ใกล้กัน ก็จะต้องใช้วิธีเจรจาขอคืนพื้นที่เช่นกัน

ทีมนักเตะพลังหนุ่ม ชมรมสื่อมวลชนพิษณุโลกโชว์ฟอร์มหรู หลังบุกไปเผาเครื่อง ทีมผสม กองบิน 46 ได้ถึงถิ่น 4 ประตูต่อ 3

ทีมนักเตะพลังหนุ่ม ชมรมสื่อมวลชนพิษณุโลกโชว์ฟอร์มหรู หลังบุกไปเผาเครื่อง ทีมผสม กองบิน 46 ได้ถึงถิ่น 4 ประตูต่อ 3 ในศึกเกมกระชับมิตร สร้างความสามัคคี

เมื่อเย็นวานนี้ ( 4 ก.ค.57 ) ที่สนามฟุตบอลกองบิน 46 อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นาย มงคลเชาวราช ทั่งมั่งมี ประธานชมรมสื่อมวลชนพิษณุโลก นำทีมนักเตะพลังหนุ่ม สื่อมวลชนหลากหลายแขนง รวมพล ดวลแข้ง กระชับมิตร กับทีมผสม กองบิน 46 นำทีมโดย ผู้รักษาประตูมือหนึ่งแห่งฐานทัพอากาศ กองบิน 46 นาวาอากาศเอก ฐากูล นาครทรรพ ผู้บังคับการกองบิน 46 ที่เตรียมนักเตะทั้ง วัยรุ่น วัยเก๋า รอหวังเชือดนิ่ม ทีมชมรมสื่อมวลชน เริ่มเกมการแข่งขัน ทีมชมรมสื่อมวลชน เครื่องสะดุด โดนเจ้าถิ่น กางปีก บุกยิงนำก่อน 2 ประตูต่อ 0 หลังจากนั้น นักเตะชมรมสื่อมวลชน พยายามทำเกมส่วนกลับ และมาได้ 2 ประตูรวด ก่อนที่กรรมการจะเป่าหมดเวลาในครึ่งแรก เริ่มกันต่อในครึ่งเวลาหลัง เจ้าบ้าน กองบิน 46 ยังทำเกมได้ดีกว่า และมาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง แต่ทีมพลังหนุ่ม ชมรมสื่อมวลชนพิษณุโลก ไม่ยอมแพ้ หลังได้แรงเชียร์จากข้างสนาม ที่เกณฑ์กันมาเชียร์ กว่า 10 ชีวิต สามารถพลิกเกม เอาชนะได้แบบหืดจับ 4 ประตูต่อ 3