วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

จังหวัดตาก จัดเวทีสาธารณะ “บทเรียนอุบัติเหตุ สู่การแก้ไข กรณีรถยนต์โดยสารปรับอากาศ ๒ ชั้น แหกโค้ง บริเวณดอยรวก จังหวัดตาก”

วานนี้ (๗ พ.ค.๒๕๕๗) เวลา ๑๔.๐๐ น. นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานเปิดเวทีสาธารณะ"บทเรียนอุบัติเหตุ สู่การแก้ไข กรณีรถยนต์โดยสารปรับอากาศ ๒ ชั้น แหกโค้ง บริเวณดอยรวก จังหวัดตาก” ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยมี หน่วยงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน ตลอดจนประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า เส้นทางสายตาก – แม่สอด เป็นเส้นทางหนึ่งที่เป็นพื้นที่สูงมีทางลาดชันหลายช่วงทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่เป็นประจำ จุดที่สำคัญคือ บริเวณดอยรวก ดอยคา และดอยศาลเจ้าพ่อพะวอ จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยที่สุดคือบริเวณดอยรวก ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีอุบัติเหตุหมู่เกิดขึ้นในระยะใกล้เคียงกันถึง ๓ ครั้ง แต่ละครั้งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะบริเวณดอยรวก กม.๖๕ – ๗๐ ส่วนองค์ประกอบที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือ คน รถและถนน

รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ได้กล่าวถึงมาตรการการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นของกรมทางหลวงว่า ควรตั้งด่านสกัดเพื่อเตือนผู้ขับขี่ให้ชะลอความเร็ว เปลี่ยนป้ายแนะนำความเร็วเป็นป้ายบังคับใช้ความเร็วที่กำหนด ตรวจจับความเร็ว เพิ่มเติมป้ายเตือนทางโค้ง ทางชัน ปรับปรุงผิวทางทางออกฉุกเฉิน เพิ่มระยะการมองเห็นบริเวณทางโค้ง ส่วนมาตรการการแก้ไขปัญหาในระยะกลางของกรมทางหลวง จัดพื้นที่เป็นจุดพักรถเพิ่มเติม ปรับปรุงผิวทางโดยใช้พาราสเลอรี่ซีล เพื่อลดความเสียดทานบริเวณทางโค้ง ปรับปรุงช่องทางเข้า ออก ฉุกเฉิน บริเวณ กม.๖๙ ส่วนการแก้ไขปัญหาระยาว ต้องมีการขยายทางเป็น ๔ ช่องจราจร

ดร.สุเมธ องกิตติกุล หัวหน้าคณะวิจัย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงผลสรุปจากการจัดเวทีสาธารณะว่า สิ่งที่ควรจะดำเนินการในระยะแรก เช่น ควรมีการเข้มงวดการตั้งจุดตรวจ รถ ๒ ชั้นควรจะมีมาตรฐาน มีการเข้มงวดการใช้เข็มขัดนิรภัย ไม่ควรวิ่งในเส้นทางที่ไม่ชำนาญเส้นทาง ยกเว้นรถประจำทาง ผู้ขับรถ ๒ ชั้น ควรมีใบอนุญาตขับขี่เฉพาะ และการควบคุมรถ ส่วนมาตรการระยะยาวที่สำคัญ คือ มีการจำกัดเวลาเดินรถบางประเภท ตลอดจนควบคุมสัญญาจ้างการเดินรถ เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น